· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางภาวะตึงเครียดทางการเมืองอิตาลีที่ผ่อนคลายลงไปจึงทำให้ค่าเงินยูโรกลับมาแข็งค่า ขณะที่ตลาดกลับมากังวลต่อภาวะตึงเครียดทางการค้าอีกครั้ง หลังจีนกล่าวเตือนสหรัฐฯว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีและหามาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆมาใช้
ดัชนีดอลลาร์เมื่อคืนนี้อ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 94.046 จุด หลังร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์บริเวณ 93.664 จุด
· เจ้าหน้าที่ทางการจีน เปิดเผยกับสำนักข่าว Xinhua โดยระบุว่า หากสหรัฐฯเดินหน้ามาตรการคว่ำบาตรทางการค้าใดๆ อันประกอบไปด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ข้อตกลงจากการเจรจาทางการค้าและเศรษฐกิจทั้งหมดที่สหรัฐฯและจีนสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้จะถือเป็นโมฆะ
· ค่าเงินยูโรกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้งจากภาวะตึงเครียดในอิตาลีที่ผ่อนคลายลงไปหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ประกอบกับการที่ นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า เยอรมนีพึงพอใจต่อการเดินหน้าขับเคลื่อนกองทุนการช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป โดยจะเห็นได้ว่าค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ระดับ 1.1694 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 24 พ.ค. บริเวณ 1.1737 ดอลลาร์/ยูโร
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวลงเล็กน้อยแตะระดับ 2.9442% แต่ภาพรวมยังอยู่ระดับสูงในรอบ 1 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับระดับในคืนวันศุกร์บริเวณ 2.895%เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและตราสารหนี้ จากภาวะความวุ่นวายทางการเมืองในอิตาลีและสเปนที่บรรเทาลงไป
· รัฐบาลแคนาดาประกาศจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องภาคอุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมจากนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมมีการเรียกร้องให้หาวิธีตอบโต้กลับสหรัฐฯในเร็ววัน แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการศึกษาประเด็นก่อน
· รัฐมนตรีกระทรวงการเศรษฐกิจของเม็กซิโก เปิดเผยว่า เม็กซิโกจะเริ่มนำข้อโต้แย้งเข้าสู่ WTO เกี่ยวกับนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม โดยเป็นการเข้าร่วมกับ WTOในการหามาตรการตอบโต้ครั้งใหม่
· ทางทำเนียบขาว ระบุว่า ทางสหรัฐฯจะยังมีความสัมพันธ์อันดีกับทางแคนาดา, เม็กซิโก และอียู แม้ว่าจะมีการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียม
· ทางทำเนียบขาว ระบุว่า นโยบายคว่ำบาตรเกาหลีเหนือยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ไม่ต้องการสร้างแรกดดันขั้นสูงสุดกับเกาหลีเหนือเป็นเวลานาน เพื่อให้เกาหลีเหนือทำการยอมให้ต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เนื่องจากมองว่าทั้ง 2 ประเทศดำเนินการร่วมกันได้
ขณะที่ 3 ผู้นำทางทหารคนใหม่ของเกาหลีเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ดูจะมีความยืดหยุ่นที่เพียงพอในการยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า เจ้าหน้าอาวุโสที่กำกับดูแลด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯประกาศลาออกจากทีมบริหารของนายทรัมป์ และกลายมาเป็นเสียงสนับสนุนให้แก่ภาคธนาคาร (Bank Lobbyist) โดยนายชาฮิร่า ไนท์ กลายมาเป็นรองประธานบริหารของ Clearing House Association ร่วมกับ Financial Sevices Roundtable
· แหล่งข่าววงในเปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters โดยระบุว่า กลุ่มผู้นำภาคธุรกิจอังกฤษกล่าวเตือน นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในการประชุมเมื่อวานนี้ มีความคืบหน้าทางการค้ากับทางอียูเพียงเล็กน้อย หลังจากเกิด Brexit เนื่องจากประเด็นดังกล่าวดูจะมีความสำคัญกว่าเรื่องการเรียกเก็บภาษีใดๆที่นางเมย์กังวลอยู่
· ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงเกือบ 2% โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือนบริเวณ 64.57 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะกลับมาปิดตลาดแดนลบ โดยปรับตัวลง 1.06 เหรียญ คิดเป็น -1.6% ที่ระดับ 64.75 เหรียญ ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 1.5 เหรียญ คิดเป็น -2% ที่ระดับ 75.29 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบหลุดต่ำกว่าเส้นแนวรับระดับสำคัญทางเทคนิคลงมา จึงกระตุ้นให้นักลงทุนทำการเทขาย ท่ามกลางการขยายตัวของผลผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะขยายตัว รวมไปถึงความตึงเครียดทางด้านการค้า