· ในการประชุมอีซีบีเมื่อวานนี้ อีซีบีส่งสัญญาณจะทำการยุติ QE ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นสิ้นสุดยุคการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่เศรษฐกิจยูโรโซนอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยอีซีบีจะทำการลดการเข้าซื้อสินพันธบัตรจาก 2.25 หมื่นล้านยูโร เหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.31 หมื่นล้านเหรียญ) ในช่วงเดือนต.ค. และจะทำการยุติ QE ในช่วงประมาณ สิ้นปีนี้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะทรงตัวไปจนถึงช่วงซัมเมอร์ปีหน้า จึงสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของกลุ่มผู้กำหนดนโยบายการเงินของอีซีบี
แต่ในการประชุมดังกล่าวของอีซีบียังสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น อีซีบีจึงจะยังคงดอกเบี้ยไปก่อน จึงยิ่งเพิ่มมุมมองที่ว่า นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบีจะยังไม่ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยใดๆ จนถึงกำหนดหมดวาระดำรงตำแหน่งในเดือนต.ค. ปีหน้า หรือเป็นระยะเวลากว่า 8 ปีที่เขาได้รับเลือกมาเป็นประธานอีซีบี
และสัญญาณที่ยังไม่มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ย ได้เข้ากดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงกว่า 1% ที่ระดับ 1.1644 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มองว่าอีซีบีน่าจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงก.ย. ปีหน้า
· นักเศรษฐศาสตร์จาก BNP กล่าวว่า ดูเหมือนเฟดจะมีท่าทีคุมเข้มทางการเงินเป็นอย่างมาก ขณะที่อีซีบีที่ถึงแม้จะประกาศจะยกเลิก QE แต่ก็ยังดูจะมีท่าทีผ่อนคลายทางการเงินอยู่
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของประธานอีซีบี ยังคงเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และอาจมีความเสี่ยงตามมาหลังจากที่ขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจยูโรโซนถึงจะมีความแข็งแกร่งแต่ก็มีความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จากภาวะทางการเมือง ประกอบกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ, ยุโรป และจีน
· มุมมองทางเศรษฐกิจนั้น อีซีบี มีการปรับลดแนวโน้มการขยายตัวในปีนี้ลงจากระดับ 2.4% สู่ระดับ 2.1% ขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อถูกปรับขึ้นมาที่ 1.7% จากระดับ 1.4% เนื่องจากราคาน้ำมันกำลังปรับตัวสูงขึ้น และอีซีบีเชื่อว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวได้ตามที่คาดหวังไว้
· เครื่องมือ ECBWATCH ระบุว่า นักลงทุนมองว่ามีโอกาสเพียง 30% จากก่อนการประชุมที่มองว่ามีโอกาส 80% ที่อีซีบีน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.1% ในการประชุมเดือนก.ค. ปี 2019
· ยอดค้าปลีกสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค. ท่ามกลางการเข้าซื้อสินค้ายานยนต์ของกลุ่มผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้น ควบคู่กับสินค้าอื่นๆ ประกอบกับการจ่ายค่าแก๊สโซลีนที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 2 ยังคงขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผย ข้อมูลค้าปลีกปรับขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2017 ขณะที่ข้อมูลในเดือนเม.ย. ถูกปรับทบทวนเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 0.4%
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญจริง โดยรายชื่อสินค้าที่จะถูกปรับขึ้นภาษีทั้งหมด 800 รายการ จากเดิมที่ 1,300 รายการ จะมีประกาศอย่างเป็นทางการภายในวันนี้
· นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการ อเอ็มเอฟ กล่าวเตือนว่า การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี จะทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าครั้งใหม่นี้จะเป็นการคุกคามระบบเศรษฐกิจโลก ขณะที่การตอบโต้ทางการค้าจากประเทศอื่นๆที่ได้รับผลกระทบ อาทิ แคนาดา หรือทางด้านชาติยุโรปอย่างเยอรมนี้นั้น จะส่งผลทำลายระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· รัฐบาลเม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายขึ้นภาษีของสินค้ากลุ่มข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯทำการขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโกจริง
· นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า การคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือจะยังมีอยู่จนกว่าจะมีการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์
· ราคาน้ำมันดิบปิดผสมผสานกันเมื่อคืนนี้ โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 80 เซนต์ ที่ระดับ 75.94 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 25 เซนต์ ที่ระดับ 66.89 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ ประกอบกับตลาดรอคอยผลการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 22 – 23 มิ.ย.นี้ ที่ถูกคาดว่าน่าจะมีการประชุมเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิต
· กระทรวง Brexit ของอังกฤษได้ยื่นเสนอแผนการดำเนินการหลังถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปต่อรัฐสภา โดยแผนดำเนินการจะเตรียมพร้อมมือกับ 3 กรณีที่อาจเกิดขึ้นหลังการถอนตัว ดังนี้
1) กรณีรัฐสภาอังกฤษปฏิเสธข้อเสนอด้านการปกครองจากสหภาพ
2) กรณีที่อังกฤษและสหภาพไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้
3) กรณีที่อังกฤษและสหภาพไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก่อนวันที่ 21 ม.ค. 2019
ทั้งนี้ แผนดำเนินการดังกล่าวถูกร่างขึ้นเพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหลัง Brexit อย่างไรก็ตาม แผนดำเนินการยังคงต้องรอความเห็นชอบจากการลงมติในรัฐสภาเสียก่อน