· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวโจมตี นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตีรเยอรมนีต่อการเปิดรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงของเธอ และส่งผลให้ชาวเยอรมนีต่อต้านผู้นำประเทศ
ทั้งนี้ นายทรัมป์ทวีตข้อความโจมตี นายกรัฐมนตรีเยอรมนีว่า อัตราการเกิดอาชญากรรมในเยอรมนีสูงขึ้นมาก และชาวเยอรมันกำลังหันมาต่อต้านผู้นำประเทศของตัวเอง เพราะการเปิดรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพกำลังเขย่ารัฐบาลผสมที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังอ้างว่า ยุโรปได้ทำผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่อนุญาตให้คนหลายล้านเข้าไปในยุโรป ซึ่งผู้ลี้ภัยและผู้อพยพได้ทำให้วัฒนธรรมยุโรปเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงมาก
· นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เฟดยังเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวคุกคามจะทำการการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม 10% ที่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญ ในแผนภาษีชุดใหม่ หลังจากที่คืนวันศุกร์ที่แล้วประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% ที่ระดับ 5 หมื่นล้านเหรียญ และส่งผลให้จีนจะทำการโต้กลับ โดยนายทรัมป์ยังคงมีมุมมองว่าการทำการค้ากับจีนนั้นไม่ยุติธรรมต่อลิขสิทธิ์ทางปัญญาของชาวอเมริการรวมทั้งสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี อันส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐฯ แรงงาน รวมทั้งเกษตรกร และหากจีนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่ม สหรัฐฯก็จะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนให้สูงขึ้นเป็น 2 แสนล้านเหรียญ
· วุฒิสภาสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้มีการลงมติผ่านร่างกฎหมายเพิ่มงบประมาณสำหรับการทหาร แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งกับร่างนโยบายยกเลิกการคว่ำบาตรบริษัท ZTEของประเทศจีนที่เพิ่งผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างนโยบายทั้ง 2 จำเป็นจะต้องได้รับความยินยอมจากทั้ง 2 สภาเสียก่อนที่จะสามารถส่งมอบให้ประธานาธิบดีลงนามรับรองให้เป็นกฎหมายได้
· สำนักงานตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ (USTR) ประกาศจะระงับการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งที่ 2 ที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ภายในวันที่ 31 ก.ค. จึงเป็นการสร้างกระแสคาดการณ์ว่านโยบายดังกล่าวอาจมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือน ส.ค.
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า ทางการแคนาดากำลังพิจารณาทางเลือกที่มีทั้งหมด ประกอบไปด้วยการช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ที่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พร้อมกันนี้แคนาดากำลังหามาตรการตอบโต้สหรัฐฯเช่นกัน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก ScotiaBank เผยว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและรถยนต์จากสหรัฐฯจะส่งผลให้เศรษฐกิจแคนาดาประสบปัญหาการชะลอตัวที่ระดับ 1.2% ในปี 2020 จากระดับ 2.1% ในปี 2018 และอาจทำให้ธนาคารกลางแคนาดาประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้
· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นต่อภาคบริการสุขภาพเมื่อออกจากอียู แม้ว่าเราจะมีการจ่ายเงินให้แก่อียู โดยกระทรวงสาธารณะสุข (National Health Service) อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นราว 2 หมื่นล้านปอนด์ในช่วงปี 2023 และ 2024
· ทางการสหรัฐฯและเกาหลีเหนือเห็นพ้องกันที่จะระงับการฝึกซ้อมทางการทหารร่วมกันในกำหนดการเดือนส.ค.นี้ ตามที่นายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ให้คำมั่นว่าจะทำการยุติ“War Games” ในการประชุมร่วมกับทางผู้นำเกาหลีเหนือเมื่อ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา
· นายเปโดร ซานเชส นายกรัฐมนตรีแห่งสเปนคนใหม่ มีกำหนดการจะเดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศส และพบกับนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ภายในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ ขณะที่สำนักประธานาธิบดีฝรั่งเศสเปิดเผยว่าทั้ง 2 ผู้นำจะเจรจาเกี่ยวกับการค้าขายระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ระบบการอพยพคนเข้าประเทศ และการปฏิรูปสหภาพยุโรป ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมใหญ่สำหรับบรรดาผู้นำประเทศในยุโรปช่วงสิ้นเดือน มิ.ย. นี้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นท่ามกลางภาวการณ์ซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนในตลาด โดยตลาดเริ่มลดกระแสคาดการณ์ต่อการที่กลุ่มโอเปกอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ขณะที่กลุ่มนักลงทุนหันมาให้ความสนใจต่อผลกระทบทางการค้าจากภาวะ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 79 เหรียญ ที่ระดับ 65.85 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 2 เดือนบริเวณ 63.59 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.9 เหรียญ ที่ระดับ 75.34 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี น้ำมันดิบ WTI ยังคงถูกกว่าน้ำมันดิบ Brent ประมาณ 9.75 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
· จีนประกาศจะทำการตอบโต้สหรัฐฯผ่านการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเช่นกัน โดยคาดว่าการนำเข้าน้ำมันจะเป็นหนึ่งในแผนดังกล่าว และอาจทำให้ปริมาณความต้องการน้ำมันดิบจากสหรัฐฯนั้นปรับตัวลดลงได้
· กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรกลุ่มโอเปกจะทำการประชุมร่วมกันในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ณ กรุงเวียนนา ท่ามกลางรัสเซียและซาอุดิอาระเบียที่มีท่าทีจะผลักดันให้มีการปรับขึ้นกำลังการผลิต