· ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินเยนปรับแข็งค่าเมื่อวานนี้ หลังจากที่นายทรัมป์ได้ทำการข่มขู่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญ จากระดับ 5 หมื่นล้านเหรียญ และยิ่งสร้างแรงตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ประเด็นดังกล่าว ก่อให้เกิดความกังวลที่ว่า Trade War จะบั่นทอนภาวการณ์ขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก และทำให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในค่าเงินหยวน จนร่วงลงไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 5 เดือน
นอกจากนี้ ความกังวลทางการค้ายังได้จุดประกายให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลกตามมา โดยหัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Commonwealth Foreign Exchange กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินเยนต่างแข็งค่าขึ้น โดยค่าเงินเยนได้รับอานิสงส์จากการเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ได้รับผลจากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่ค่าเงินสกุลอื่นๆทั่วโลกได้รับผลกระทบจากข้อขัดแย้งทางการค้าทั่วโลก
ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นไปแตะระดับ 95.296 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ก.ค.ปีที่แล้ว ทางด้านค่าเงินเยนปรับแข็งค่าลงมา 0.5% ที่ระดับ 109.97 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงทำระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์บริเวณ 1.1528 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ประธานอีซีบีเรียกร้องให้มีการอดทนรอต่อแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของอีซีบีในการประชุมที่โปรตุเกส
· รายงานจาก Financial Times ระบุว่า ถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบีเมื่อวานนี้ยังคงส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และการปรับขึ้นดอกจะเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนับตั้งแต่เดือนก.ย. ปีหน้า
· ผลการประกาศยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านในสหรัฐฯปรับตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดรอบ 11 ปี ท่ามกลางการขยายตัวอย่างรวดเร็วในการก่อสร้างบ้านเดี่ยวและบ้านที่อาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ขณะที่ยอดขออนุมัติก่อสร้างบ้านปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 แต่ภาพรวมกิจกรรมในตลาดที่อยู่อาศัยก็ยังคงขยายตัวได้ปานกลาง
ทั้งนี้ ยอดขายบ้านสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5% ที่ระดับ 1.35 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ก.ค.ปี 2007 ขณะที่ยอดการขออนุมัติก่อสร้างบ้านปรับตัวลง 4.6% ที่ระดับ 1.301 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.ย. ปีที่แล้ว
· ผู้บริหารจาก Goldman Sachs & Co กล่าวว่า ท่าทีคุกคามของนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อความขัดแย้งทางการค้ากับจีน มีแนวโน้มจะเป็นเพียงยุทธวิธีในการหาทางเจรจา และไม่น่าจะเป็นข้อตกลงเพื่อฆ่าประเทศของตนเอง
· นายแอนดรูว์ คูว์โม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ผู้มีแนวคิดทางการเมืองที่ตรงข้ามกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า จะทำการฟ้องร้องทีมบริหารของนายทรัมป์ในการแยกเด็กในกลุ่มผู้อพยพออกจากครอบครัวของพวกเขา จากกรณีการจับกุมกลุ่มคนลักลอบข้ามชายแดนสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การจับแยกเด็กออกจากครอบครัวรวมถึงสถานกักกันเยาวชนที่ตั้งอยู่ทางพรมแดนตอนใต้ของสหรัฐฯและเม็กซิโกก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสหรัฐฯและต่างประเทศ ภายหลังจากที่มีคลิปวิดีโอหลายอันเผยแพร่เด็กๆที่อยู่ในที่กักกัน รวมทั้งไฟล์เสียงของเด็กๆที่สื่อถึงครอบครัวของพวกเขาที่กำลังถูกเผยแพร่รวมทั้งการโพสต์ลงสื่อ Social Media ต่างๆ
· สมาชิกพรรครีพับลิกันต่างเร่งรีบดำเนินการปรับปรุงร่างกฎหมายที่อาจช่วยระงับแนวทางการดำเนินนโยบายของทีมบริหารนายทรัมป์ที่คัดแยกเด็กในกลุ่มผู้อพยพออกจากครอบครัวบริเวณพรมแดนสหรัฐฯและเม็กซิโก หลังจากที่ผลสำรวจส่วนใหญ่ชี้ว่าชาวอเมริกาส่วนใหญ่ต่างคัดค้านนโยบายดังกล่าว ซึ่งวิดีโอและเทปเสียงที่กำลังถูกเผยแพร่ในขณะนี้กำลังส่งผลกระทบและสร้างความไม่พอใจอย่างหนักต่อกลุ่มครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ภายใต้หลักศาสนา รวมถึงผู้นำทางภาคธุรกิจส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับนานาชาติขณะนี้
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า นายทรัมป์ เดินทางถึง Capitol Hill ในช่วงเย็นวานนี้เพื่อเข้าพบกับ ส.ส.พรรครีพับลิกันในการหารือกันถึงกฎหมายกลุ่มผู้อพยพ โดยเขามีเป้าหมายหลักในการให้สภาคองเกรสผ่านร่างงบประมาณก่อสร้างกำแพงพรมแดนระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิโก ซึ่งเป็นแผนที่พรรคเดโมแครตทำการคัดค้านมาโดยตลอด
· รายงานล่าสุดจาก Reuters ชี้ว่า มีกลุ่มเด็กกว่า 2,300 คนที่ถูกจับแยกจากครอบครัวของพวกเขาจากบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกในช่วงระหว่าง 5 พ.ค. – 9 มิ.ย. ภายใต้การดำเนินนโยบายของทีมบริหารนายทรัมป์ ซึ่งเป็นนโยบายสำหรับกลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
ทางด้านกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ระบุว่า กลุ่มผู้ปกครองของเด็กที่ไม่ได้ถูกจับกุมมีสิทธิจะได้รับลูกของพวกเขาผ่านการดำเนินการตามกระทบวนการได้
· สหรัฐฯประกาศถอนตัวออกจาก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ของสภา UN เมื่อวานนี้ โดยกล่าวหาว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอคติต่อต้านอิสราเอลมาตลอด และปราศจากแนวทางการปฏิรูป และยังระบุว่าคณะกรรมการชุดนี้เป็นพวกตีสองหน้าและเอนเอียงรับใช้ตัวเอง รวมทั้งลบหลู่สิทธิมนุษยชน
· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวชื่นชมต่อการมาเยือนของ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ สำหรับผลลัพธ์ที่ดีในการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งประวัติศาสตร์กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งการให้คำมั่นต่อมิตรภาพที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงระหว่างกัน
ซึ่งการพบกันระหว่างผู้นำจีนและเกาหลีเหนือถือเป็นครั้งที่ 3 ที่นายคิมได้เดินทางเยือนประเทศจีนในปีนี้ และจีนมีความตั้งใจที่ให้การสนับสนุนยุทธวิธีเพื่อสันติภาพบริเวณคาบสมุทรเกาหลี
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า การพบกันระหว่าง 2 ผู้นำดังกล่าว ได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์บริเวณคาบสมุทรเกาหลีด้วยเพื่อให้เกิดสันติสุขที่แท้จริง อันเป็นหนึ่งในกระบวนการ “ก้าวสู่อนาคตใหม่” ร่วมกัน
· ผลลสำรวจจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนมิ.ย.นี้ แต่ภาคบริการกลับชะลอตัวในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นระดับการชะลอตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จึงบี้ว่าสภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังมีความเปราะบางอยู่บ้าง หลังจากที่หดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
· รายงานจากสำนักข่าว IRNA ระบุว่า ผู้อำนวยการด้านอาวุธนิวเคลีย เผยว่า ข้อเสนอของชาติยุโรปเพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2015 หลังจากที่สหรัฐฯประกาศถอนตัวไปนั้นดูจะยังไม่เพียงพอเพื่อให้อิหร่านยอมอยู่ในข้อตกลงดังกล่าว พร้อมกล่าวเตือนว่าทุกฝ่ายอาจเผชิญกับความสูญสูยหากมีการกีดกันชาติอิหร่าน
· ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 26 เซนต์ ที่ระดับ 75.08 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 78 เซนต์ คิดเป็น -1.2% ที่ระดับ 65.07 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ผลิตโอเปกอาจมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิต ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ก่อให้เกิดแรงขายในหลายๆตลาดการเงินทั่วโลก