· กองทัพสหรัฐฯเตรียมเปิดรับและให้ที่พักพิงแก่เยาวชนจากครอบครัวผู้อพยพเป็นจำนวนกว่า 20,000 รายเป็นการชั่วคราว ท่ามกลางความสับสนที่กำลังเกิดขึ้นภายในรัฐสภาหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามที่ยกเลิกร่างนโยบายผู้อพยพที่จะแยกเยาวชนออกจากครอบครัวผู้อพยพที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในสหรัฐฯและประเทศพันธมิตร
· เมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศจะทำการเรียกเก็ฐภาษีสินค้านำเข้าประเภทเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% แม้ว่าจะมีการยกเว้นชั่วคราว แต่ยุโรปก็ได้รับผลกระทบนับตั้งแต่เริ่มต้นเดือนมิ.ย. ขณะที่ทางยุโรปก็จะทำการตอบโต้ด้วยมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ อันรวมไปถึง น้ำส้ม, ข้าวโพดหวาน, เนยถั่ว รวมทั้งผ้ายีนส์
· กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF มีแนวโน้มจะปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรลดลงเล็กน้อย โดยมีปัจจัยความเสี่ยงมาจากความขัดแย้งทากงารค้า ประเด็น Brexit และรวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองของอิตาลีและประเทศอื่นๆในภูมิภาค ในรายงานเศรษฐกิจของ IMF ที่จะเปิดเผยในเดือน ก.ค. นี้
นางคริสทีน ลาการ์ด ประธาน IMF เปิดเผยว่า แม้การเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปจะถูกปรับคาดการณ์ลง แต่เป็นการชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และก็ไม่ได้คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด ซึ่งส่วนก็อาจเกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป
· ผู้อำนวยการ IMF ยังระบุในวันนี้ว่า ภาวะตึงเครียดทางการค้าทั่วโลกถือเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกืจครั้งใหญ่ต่อยูโรโซน แม้ว่ายูโรโซนจะขยายตัวได้เหนือคาดการณ์ในปีที่แล้ว แต่ก็มีโอกาสขะลอตัว และมีแนวโน้มที่จะเห็น IMF หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจของยูโรโซนลงในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ความเสี่ยงแรกที่ยูโรโซนกำลังเผชิญคือภาวะตึงเครียดทางการค้าผ่านนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ที่ถือเป็นความเสี่ยงทางการค้าของยูโรโซน
· สหภาพยุโรปอนุมัติขยายระยะเวลาครบกำหนดจ่ายหนี้ให้กับรัฐบาลกรีซที่มีมูลค่ากว่า 9.69 หมื่นล้านยูโรออกไปอีก 10 ปี พร้อมอนุมัติเงินกู้เงินให้เป็นจำนวน 1.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อช่วยเหลือให้เศรษฐกิจกรีซสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างน้อย 22เดือน
· IMF กล่าวเกี่ยวกับกรณีที่ยุโรปยินยอมขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้กับกรีซ โดยระบุว่าจะช่วยให้กรีซสามารถหนุนเศรษฐกิจของกรีซได้ในระยะปานกลาง แต่ได้เตือนว่าเศรษฐกิจกรีซอาจเผชิญกับข้อจำกัดในระยะยาวได้
· สำนักข่าวประจำรัฐบาลจีนรายงานว่า การข่มขู่เชิงสงครามการค้าจากสหรัฐฯ เป็นผลมาจากความกังวลมากเกินไปของสหรัฐฯ ซ้ำยังเป็นการทำลายตัวเอง ดังนั้นจีนต้องไม่ถูกเบี่ยงเบนให้ไขว้เขวไปตามคำพูดของสหรัฐฯ และมุ่งหน้าพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้นโยบายของรัฐบาลต่อไป
· รายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯเปิดเผยว่า จีนกำลังทำการทดสอบอาวุธ “Railguns” สำหรับติดตั้งบนเรือรบ และมีแนวโน้มที่จะพร้อมประจำการได้ภายปีใน 2025
โดย Railguns เป็นอาวุธประเภทปืนที่ใข้สนามแม่เหล็กในการเร่งความเร็วกระสุนแทนดินปืน ซึ่งทำให้อาวุธนี้ทรงพลังอย่างมาก และสามารถยิงได้ไกลกว่า 124 ไมล์ด้วยความเร็วกระสุนมากกว่า 1.6 ไมล์/วินาที เรียกได้ว่าถ้ายิงจากกรุงวอชิงตันดีซีของสหรัฐฯ กระสุนจะพุ่งไปถึงรัฐฟิลาเดลเฟียของสหรัฐฯได้ภายในเวลาเพียง 90 วินาที
· ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังการประชุมโอเปกในวันนี้ เนื่องจากสมาชิกกลุ่มโอเปกดูเหมือนจะมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนเงื่อนไขข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกัน หลังจากที่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียมีรายงานว่าจะทำการปรับเพิ่มกำลังจากผลิตจากระดับในข้อตกลงมาที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่บางประเทศ น่าจะยังไม่สามารถขยายกำลังกำลังการผลิตได้ ซึ่งการปรับขึ้นกำลังการผลิตที่อาจสูงกว่า 600,000 บาร์เรล โดยอิหร่านยังคงมีการผลิตที่จำกัด และการเพิ่มกำลังการผลิตก็จะได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐฯที่จะเป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง ดังนั้นภาพรวมของการประชุมวาระนี้จึงอาจจะไม่มีแนวโน้มการตกลงกันได้
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวลดลงอย่างหนัก หากกลุ่มโอเปกล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงร่วมกันอย่างที่ควรจะเป็น หากจำนวนการปรับขึ้นสุทธิที่ 600,000 – 800,000 บาร์เรล/วัน ก็อาจช่วยหนุนให้ราคาฟื้นตัวได้ แต่ในทางตรงข้ามหากผลลัพธ์ที่ออกมาคือการปราศจากข้อตกลงใดๆที่อาจเป็นการปล่อยฟรีสำหรับทุกประเทศ ก็อาจสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดได้
· วิเคราะห์ราคาน้ำมันทางเทคนิค
ราคาน้ำมันแกว่งตัวในกรอบเหนือระดับแนวรับ 64.26 เหรียญ/บาร์เรล และ 63.96 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหาก Break หลุดลงมาก็อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงมาที่ 61.84 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 6 เม.ย. ได้ แต่หากราคาน้ำมันดิบสามารถ Break แนวต้านบริเวณ 66.22 เหรียญ/บาร์เรล และ 67.36 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็อาจเห็นแรงเทขายเข้ามาระยะสั้น แต่ก็จะปรับขึ้นไปแถว 68.64 – 69.53 เหรียญ/บาร์เรลได้
· ตลาดส่วนใหญ่กลับมาให้ความสำคัญและเฝ้ารอต่อผลการประชุมโอเปกที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันนี้ เพราะมีแนวโน้มจะตัดสินใจขยายเพดานการผลิต ขณะที่ทางซาอุดิอาระเบียมีการกล่าวเตือนถึงข้อตกลงของทางอิหร่าน เนื่องจากอิหร่านมีแนวโน้มจะมียอดส่งออกน้ำมันดิบลดลงจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
· บรรดาสมาชิกในกลุ่มโอเปกยังคงดำเนินการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการปรับเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังคงไม่สามารถหาความเห็นชอบจากตัวแทนประเทศอิหร่านที่กำลังประสบการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯที่จำกัดการส่งออกน้ำมันของอิหร่านลง
ทั้งนี้ ตัวแทนจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซียได้เปิดเผยว่า สมาชิกส่วนใหญ่ดูจะค่อนข้างเห็นด้วยกับการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 1% ของปริมาณอุปทานน้ำมันทั่วโลก
· ราคาน้ำมันปรับขึ้นมากกว่า 1% ท่ามกลางความไม่แน่นอนในการประชุมของกลุ่มโอเปกว่าจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันในการปรับเพิ่มกำลังการผลิตได้หรือไม่
โดยราคาน้ำมัน Brent ปรับสูงขึ้น 1.3% บริเวณ 74.02 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI ปรับสูงขึ้น 1.3% บริเวณ 66.37 เหรียญ/บาร์เรล