· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่ตอบรับกับข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยูโรโซน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองอิตาลีที่ยืนยันจะไม่ออกจากอียู โดยรัฐบาลอิตาลีปัจจุบันให้สัมภาษณ์กับสื่อภายในประเทศโดยระบุว่า “ไม่ต้องการที่จะออกจากอียู” ขณะที่กรีซสามารถชำระหนี้สินและได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมแก่ยูโรโซน
ค่าเงินยูโรสัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยคืนวันศุกร์ปิดที่ระดับ 1.1662 ดอลลาร์/ยูโร
· สถาบันจัดอันดับ IHS Markit เผยว่า ข้อมูลกิจกรรมภาคธุรกิจของเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในยูโรโซนขยายตัวขึ้นได้ แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางการค้าระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ
· ทางด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ปรับอ่อนค่าลงไปประมาณ 0.24% ที่ระดับ 94.517 จุด เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดรอบ 11 เดือนบริเวณ 95.529 จุด ในคืนวันพฤหัสบดี
· รายงานจาก CFTC ชี้ว่า บรรดานักเก็งกำไรกลับถือครองสถานะ Long ในค่าเงินดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค. ปีที่แล้ว โดยนักลงทุนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นต่อโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกจำนวน 2 ครั้งในปีนี้
โดยมูลค่าการถือครองสถานะ Long ในค่าเงินดอลลาร์สุทธิอยู่ที่ 8.64 พันล้านเหรียญในสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อ 19 มิ.ย. โดยปรับขึ้นจากสถานะ Short สุทธิที่ระดับ 7.42 พันล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้า จึงอาจเรียกได้ว่าในสัปดาห์ล่าสุดนั้นมีสถานะ Longในดอลลาร์มากที่สุดนับตั้งแต่ 16 พ.ค.ปีที่แล้ว
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงท่าทีคุกคามทางการค้าหรือภาวะ Trade War กับทางยุโรป หลังยุโรปจะทำการตอบโต้มาตรการการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯเป็นมูลค่า 3.2 พันล้านเหรียญ
ซึ่งนายทรัมป์ ระบุว่า หากยุโรปยังคงตั้งกำแพงภาษีและไม่ยอมยุติ นายทรัมป์จะทำการเรียกเก็บภาษีสินค้ารถยนต์นำเข้าจากยุโรปทั้งหมด 20%
· ขณะที่ยุโรปแสดงท่าทีแข็งกร้าวในการหาทางตอบโต้หากสหรัฐฯจะดำเนินมาตรการการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในประเทศยุโรป
• เมื่อวานนี้ ทางธนาคารกลางจีน กล่าวว่า จะทำการปรับลดกระแสเงินสดบางส่วนของภาคธนาคารออกประมาณ 0.5% คิดเป็น 1.08 แสนล้านเหรียญ เพื่อรักษาเสถียรภาพของหุ้นกู้และการปล่อยเงินกู้แก่ภาคบริษัทขนาดเล็ก
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงกรณีคนเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายควรถูกส่งกลับในทันใดโดยปราศจากกระบวนการใดๆทั้งสิ้น ให้สมกับความตั้งใจที่เขาจะพยายามจะลักลอบเข้าประเทศสหรัฐฯ
กลุ่มผู้นำอียูบางส่วนได้เข้าร่วมประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพ ก่อนที่การประชุมสุดยอดผู้นำ EU จะเริ่มขึ้นในวันที่ 28-29 มิ.ย.
ประเทศสมาชิกอียูมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันมาหลายปีในเรื่องของการกำหนดโควต้ารับผู้อพยพของแต่ละประเทศ โดยบางประเทศมีจำนวนผู้อพยพมากกว่าประเทศอื่นๆในกลุ่มอียูขณะที่บางประเทศได้ประกาศไม่เปิดรับผู้อพยพโดยสิ้นเชิงเนื่องด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
ทั้งนี้ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เชื่อว่านโยบายเปิดรับผู้อพยพจะสามารถบรรลุได้หากชาติสมาชิกอียูตัดสินใจและปฏิบัติร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของนางแมร์เคิลได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากชาติสมาชิกที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงบุคคลภายในพรรครัฐบาลผสมของเยอรมนีเองอย่างรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยที่ออกมาต่อต้านนโยบายดังกล่าว
· บริษัท ZTE Corp ถูกคาดว่าจะมีการฝากเงินจำนวน 400 ล้านเหรียญ ในระบบเอสโคร์ว หรือ Escow Account ในสหรัฐฯ อีก 2 – 3 วันข้างหน้า ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่บริษัทด้านการสื่อสารยักษ์ใหญ่ของจีนจะต้องดำเนินการก่อนที่สหรัฐฯจะตัดสินใจปรับลดการแบนบริษัทฯดังกล่าว
· รายงานจากรอยเตอร์ส แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน หรือ (CPI) มีแนวโน้มจะขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อภาวะตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
· ผลสำรวจจาก Baker & McKenzie ระบุว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอังกฤษและยุโรปดูจะดีขึ้นหลังจากที่ออกจากอียูในช่วงต้นปีหน้า แต่มองว่า Brexit จะส่งผลลบต่อภาคธุรกิจอังกฤษ โดยเชื่อว่าบริษัทขนาดใหญ่เกินกว่าครึ่งของอังกฤษในยุโรปจะถูกปรับลดการลงทุนออกไป
· ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 2.5 เหรียญ คิดเป็น +3.4% ที่ระดับ 75.55 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 3.04 เหรียญ คิดเป็น +4.6% ที่ระดับ 68.58 เหรียญ/บาร์เรล โดยตลาดยังได้รับอานิสงส์จากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบในรัฐคุชชิงและโอกลาโฮมาที่ปรับตัวลงเกินคาด ขณะที่ภาพรวมในสัปดาห์ที่แล้วน้ำมันดิบ Brent ขยับขึ้นได้ 2.7% ขณะที่ WTI ปรับขึ้นได้ 5.5%
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ หลังจากที่บรรดากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างกลุ่มโอเปกและชาติสมาชิกนอกกลุ่มโอเปกบรรลุข้อตกลงการปรับขึ้นกำลังการผลิตปานกลางเพื่อชดเชยการสูญเสียกำลังการผลิตในช่วงที่ปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยจะมีผลนับตั้งแต่ก.ค.เป็นต้นไปที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมไม่ได้กำหนดโควตาการเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติจริงอิรักอาจเพิ่มกำลังการผลิตได้เพียง 7 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่อิหร่านจะปรับขึ้น 5 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากแต่ละประเทศมีปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิต