· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.1650 ดอลลารฺ/ยูโร หลังจากบรรดาผู้นำประเทศแถบยุโรปในการประชุม EU Summit สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการอพยพได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายๆฝ่ายกังวล เพราะหากเจรจาไม่สำเร็จ อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นหนึ่งเดียวของสหภาพยุโรป
ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.5% บริเวณ 94.936 จุด หลังจากแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบเกือบปีที่ระดับ 95.534 จุด เมื่อคืนที่ผ่านมา สำหรับภาพรวมรายไตรมาส ดัชนีมีโอกาสปิดตลาดในแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส
ด้านค่าเงินหยวน ปรับอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนครึ่ง ที่ระดับ 6.6441 หยวน/ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ และ Trade war
· รายงานล่าสุดจาก Reuters ระบุว่า บรรดาผู้นำประเทศในการประชุม EU Summit สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการอพยพได้ หลังจากการเจรจาที่ยืดเยื้อยาวนานมาจนถึงช่วงบ่ายวันนี้ แม้ข้อตกลงจะเป็นเพียงในภาพรวม และยังไม่ได้ลงรายละเอียดลึกก็ตาม
· ในการประชุม EU Summit บรรดาผู้นำประเทศมีข้อตกลงร่วมกันที่จะขยายระยะเวลาของมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียออกไปอีก 6 เดือนจนถึงเดือน ม.ค. ปี 2019 จากกรณีที่รัสเซียได้ให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏในประเทศยูเครน โดยการคว่ำบาตรจะการห้ามทำธุรกรรมกับภาคธนาคาร ภาคการเงิน และภาคพลังงานของรัสเซีย
· รัฐบาลจีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเข้าลงทุนจากต่างประเทศสำหรับธุรกิจประเภท ธนาคาร อุตสาหกรรมรถยนตร์และอุตสาหกรรมหนัก รวมถึงการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการดำเนินนโยบายสำหรับการเปิดกว้างตลาดจีนเพื่อต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีการเปิดเผยรายชื่อของภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่มีปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ติดลบ เพื่อบ่งชี้ถึงธุรกิจที่ยังมีการจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยรายชื่อดังกล่าว ล่าสุดอยู่ที่จำนวน 48 รายชื่อ ลดลงจากเดิมในปี 2017 ที่ 63 รายชื่อ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ท่ามกลสงความไม่แน่นอนทางประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า แม้ว่าตลาดน้ำมันดิบยังคงตึึงตัวจากภาวะอุปทาน ปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่ออิหร่าน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.4% ที่ระดับ 73.18 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ BRENT ร่วงลง 0.2% ที่ระดับ 77.69 เหรียญ/บาร์เรล
· บรรดาโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในญี่ปุ่นเพิ่มการเข้าซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนเกือบ 4 ล้านบาร์เรลในช่วงเดือน มิ.ย. – ก.ย. เนื่องจากราคาน้ำมันของสหรัฐฯมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันจากตะวันออกกลางที่ทางญี่ปุ่นนิยมเข้าซื้อก่อนที่อิหร่านจะถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร
· น้ำมันดิบ WTI กำลังอยู่ในสภาวะสะสมพลังภายใต้การทำจุดสูงสุดครั้งใหม่บริเวณ 73.04 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2014 หลังจากที่อ่อนตัวบริเวณด้านล่างแถว 72.98 และ 63.58 เหรียญ/บาร์เรล แต่ภาพรวมน้ำมันดิบยังมีสัญญาณเป็น Uptrend โดยขึ้นมาแล้วประมาณ 26.04 เหรียญ/บาร์เรล (เมื่อนับจากต่ำสุดเดิมเมื่อ ก.พ. ปี2016)
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับอานิสงส์จากสภาวะการจำกัดการผลิตน้ำมันดิบในลิเบียและเวเนซูเอล่า รวมทั้งการคว่ำบาตการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่าน และภาวะอุปทานที่ลดลงเกินคาดจากแคนาดา ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่เกื้อหนุนราคาน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ดี หากน้ำมัน Break ขึ้นมาเหนือ 72.89 เหรียญ/บาร์เรล มีโอกาสเห็นน้ำมันขึ้นไปที่ 74.94 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมเมื่อ 4 ต.ค. ปี 2011 ได้ และนั่นจะทำให้ราคาอาจพุ่งไปถึงแนวต้านสำคัญที่ 76.35 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย Fibonacci 61.8% แต่หากราคาน้ำมันดิบไม่สามารถปิดเหนือระดับ 72.89 เหรียญ/บาร์เรลได้ก็มีโอกาสเห็นราคาปรับฐานโดยมีแนวรับสำคัญทางเทคนิคที่ 70 เหรียญ/บาร์เรล และ 69.5 เหรียญ/บาร์เรล