• ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงภาวะการจ้างงานที่ออกมาดีเกินคาดแต่ก็ยังแย่กว่าเดิม ประกอบกับตลาดให้ความสำคัญไปยังข้อมูลค่าจ้างแรงงานที่เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ออกมาแย่กว่าที่คาด ประกอบกับข้อมูลอัตราว่างงานสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นเกินคาด และผลของข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ได้ส่งผลให้นักลงทุนลดกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจำนวน 4 ครั้งในปีนี้
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.5% ที่ระดับ 94.019 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ระดับ 110.42 เยน/ดอลลาร์ และค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.5% ที่ระดับ 1.1742 ดอลลาร์/ยูโร
• คืนวันศุกร์ค่าเงินหยวนอ่อนค่าขึ้น 0.1% ที่ระดับ 6.6480 หยวน/ดอลลาร์ แต่ก็ยังอยู่ห่างจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 11 เดือนที่ทำไว้ในวันอังคารที่ผ่านมาบริเวณ 6.7204 หยวน/ดอลลาร์ โดยหยวนได้รับผลกระทบจากภาวะตึงเครียดทางการค้า ก่อนที่ทางธนาคารกลางจีนจะเข้าแทรกแซงเพื่อให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ
• การประกาศข้อมูลการจ้างงานอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯออกมาดีเกินคาดที่ระดับ 213,000 ตำแหน่ง ขณะที่ข้อมูลเดือนก่อนหน้ามีการปรับทบทวนมาที่ 244,000 ตำแหน่ง ทางด้านอัตราว่างงานปรับขึ้นเกินคาดมาที่ 4.0% จากระดับ 3.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบ 18 ปี และข้อมูลอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงปรับขึ้นได้เพียง 5 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากที่ขยายตัวได้ 0.3% ในเดือนก่อนหน้า
• รายงานจาก Fed Funds Futures ชี้ให้เห็นว่า มีโอกาส 77% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยลดลงจากระดับ 80% ที่เป็นคาดการณ์ก่อนการประกาศข้อมูลภาคแรงงาน
หลังจบรายงานการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ นักลงทุนก็กลับมาให้ความสนใจต่อความขัดแย้งทางการค้าของสองประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ หลังจากที่สหรัฐฯประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ และนักลงทุนมองว่าความตึงเครียดดังกล่าวจะสร้างความผันผวนไปทั่วตลาดการเงินโลก
• ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ผ่านมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 3.4 หมื่นล้านเหรียญของทั้งสองประเทศ และจีนได้กล่าวประณามสหรัฐฯว่า กำลังกระตุ้นให้กิดภาวะสงครามทางการค้าครั้งใหญ่ระหว่างสองประเทศ และประเด็นดังกล่าวได้ฉุดให้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วงลงไปแดนลบก่อนจะรีบาวน์ปิดบวกกลับมาได้ 0.5% ทางด้าน S&P Mini Futuresร่วงลงไป 0.5%
• อย่างไรก็ดี จีน ยังคงเปิดกว้างทางการค้ากับคู่ค้าต่างประเทศ และอาจได้รับอานิสงส์จากการผูกมิตรทางการค้ากับยุโรปซึ่งมีฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง
• สำนักงานตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯประกาศให้บรรดาผู้ประกอบการในประเทศจีนสามารถยื่นเรื่องขอละเว้นภาษีส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯได้ภายในระยะเวลา 90 วัน จนถึงวันที่ 9 ต.ค. ปีนี้ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนอีก 25% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้ากว่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ มีผลบังคับใช้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
• นายหวัง กี่ชาน รองประธานาธิบดีจีน กำลังเป็นที่ถูกจับตาท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ เนื่องจากเขาอาจเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ประเทศลงได้
โดยบทบาทในประเทศของเขาเกี่ยวข้องกับการต่อสู่กับการคอรัปชั่นภายในรัฐบาล รวมถึงปัญหาทางการเงินในประเทศ นอกจากนี้ เขายังประสบการณ์เกี่ยวกับการเจรจาทางด้านเศรษฐกิจร่วมกับสหรัฐฯเมื่อสมัยที่เขายังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีจีนอีกด้วย
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า จีนอาจชะลอการประกาศกฎข้อบังคับฉบับใหม่สำหรับการบริการทางการเงินแก่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงหรือ Wealth Management Product ของภาคธนาคารต่างๆ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินล่าสุด
• รัฐบาลเกาหลีเหนือตำหนิการเจรจาร่วมกับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ว่าเขาได้เรียกร้องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ด้วยท่าทีที่เหมือนกับอันธพาล ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของนายปอมเปโอที่ค่อนข้างถึงพอใจกับผลการเจรจาร่วมกับตัวแทนนของเกาหลีเหนือ
โดยนายปอมเปโอได้ระบุว่า การเจรจาสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ใน “หัวข้อหลักๆส่วนใหญ่” แม้อาจยังมีบางหัวข้อที่ยังต้องเจรจาต่อไปก็ตาม
• ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศระงับการจ่ายเงินประกันให้กับผู้ประกันสุขภาพภายใต้นโยบายโอบามาแคร์ โดยอ้างว่าศาลรัฐบาลกลางได้สั่งให้ระงับการแจกจ่ายสำหรับงบประมาณในส่วนนี้แล้ว
• นายเลโอนาด เลโอ ที่ปรึกษาฝ่ายตุลาการประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิกเผยรายชื่อของผู้ได้รับการคัดเลือกให้รับตำแหน่ง ทนายความประจำศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ซึ่งก็คือนายเรย์มอนด์ เคธลีค (Raymond Kethledge) และนายโทมัส ฮาดิแมน (Thomas Hardiman)
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 นายดูเหมือนจะไม่เป็นที่รู้จักของบรรดาสมาชิกรัฐสภาฝ่ายอนุรักษ์นิยมเสียเท่าไหร่ จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยม
• น้ำมันดิบปิดปรับตัวลงผสมผสานกันท่ามกลางแรงทำ Short-Covering จึงทำให้น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ร่วงลงตอบรับกับความตึงเครียดทางการค้า ประกอบกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียที่เพิ่มขึ้น
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 61 เซนต์ ที่ระดับ 73.55 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 39 เซนต์ ที่ระดับ 77 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ภาพรวมในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.4% และน้ำมันดิบ Brent ร่วงลงประมาณ 3%
• รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศระงับการขนส่งสินค้าสู่ประเทศอิหร่าน ท่ามกลางความกังวลว่าฝรั่งเศสอาจโดนนโยบายคว่ำบาตรของสหรัฐฯที่มุ่งเป้าไปยังประเทศที่มีการทำธุรกิจร่วมกับอิหร่าน ขณะที่ทางนายฮัสสัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน กำลังเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรในสหภาพยุโรปเร่งดำเนินการเพื่อช่วยบรรเทาอิหร่านจากการถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ