• ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับรายวันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ในช่วง 3 สัปดาห์ครึ่ง หลังจากที่ 2 รัฐมนตรีของอังกฤษประกาศลาออกจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรีของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โดยเงินปอนด์ร่วงลง 1.3% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์แตะระดับต่ำสุดระดับวันบริเวณ 1.319 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนที่ช่วงปลายตลาดจะกลับขึ้นมาเล็กน้อยแถว 1.326 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังมีข่าวว่า นายแบรนดอน ลูอิส ประธานสภาฝ่ายพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษไม่คิดว่าจะมีการเปิดโหวตลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจในตัวนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อยทำระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 94.20 จุด ขณะที่เช้านี้ปรับอ่อนค่าลงมาที่ 94.041 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรเช้านี้ปรับอ่อนค่าลงมาเล็กน้อยมาที่ 1.1757 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่เมื่อวานนี้ทำระดับแข็งค่ามากที่สุดบริเวณ 1.1790 ดอลลาร์/ยูโรโดยประมาณ ทางด้านค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นอีก 0.5% ที่ระดับ 6.614 หยวน/ดอลลาร์
• สรุปถ้อยแถลงนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบีเมื่อวานนี้ ยังคงบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานมีการฟื้นตัว และมีความมั่นใจต่อทิศทางเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้น ซึ่งเงินเฟ้อจะสะท้อนต่อภาวะการมีเสถียรภาพและทำให้อีซีบีอาจค่อยๆยุติการเข้าซื้อสินทรัพย์ได้
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า อีซีบีจะยุติการเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงเดือนธ.ค. ปีนี้ แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าเป็นการสิ้นสุดการใช้นโยบายใดๆ ซึ่งอีซีบีประเมินว่ามาตรการทางการเงินที่อีซีบีได้ใช้มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2014 ภาพรวมดูจะส่งผลให้อัตราจีดีพีที่แท้จริง (Real GDP) ของยูโรโซนขยายตัวได้ประมาณ 1.9% ขณะที่เงินเฟ้อดูจะตอบสนองและขยายตัวได้ระหว่างปี 2016 – 2020 ขณะที่ความเสี่ยงหลักต่อภูมิภาคคือท่าทีคุกคามที่มากขึ้นจากแนวทางการกีดกันทางการค้า
• รายงานเศรษฐกิจของเฟดสาขาซานฟรานซิสโกระบุว่า นโยบายปฏิรูปภาษีเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สามารถช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพีในปีนี้ได้ตามที่นักวิเคราะห์ประจำรัฐสภาฯประเมินไว้ที่ 1.3% โดยรายงานจากเฟดประเมินว่านโยบายดังกล่าวจะสามารถหนุนเศรษฐกิจปีนี้ได้ไม่ถึง 1% และอาจใกล้ระดับ 0%
• สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นว่าจีนอาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่จะให้เกาหลีเหนือทำการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ว่าจะทำตามข้อตกลงในการประชุมที่ได้พบกันครั้งประวัติศาสตร์
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวตำหนิสมาชิกในกลุ่ม NATO ว่าให้ความร่วมมือน้อยเกินไปในการรักษาดุลการค้าร่วมกับสหรัฐฯ ขณะที่นายทรัมป์และบรรดาผู้นำประเทศจากยุโรป จะมีการประชุมกลุ่ม NATO ร่วมกันภายในวันพุธและพฤหัสบดีสัปดาห์นี้ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทสเบลเยี่ยม
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งอังกฤษ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเป็นการประท้วงนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย Brexit ที่ต้องการคงความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิดเอาไว้ ส่งผลให้เกิดความไม่พึงพอใจกับบรรดาสมาชิกในรัฐบาลของเธอ
ารลาออกของนายบอริส เกิดขึ้นหลังจากการประกาศลาออกของนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีกระทรวง Brexit ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้ภาพรวมรัฐบาลของนางเมย์ มีท่าทีเลวร้ายต่อการดำเนินการ Brexit มาก ขณะที่อังกฤษกำลังจะถอนตัวออกจากยุโรปอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. ปี 2019 นี้
• นายเอ็ดเวิร์ด โนวอทนีย์ สมาชิกอีซีบี กล่าวว่า ภาวะ Brexit และการลาออกของรัฐมนตรีอังกฤษอาจสร้างผลเสียต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในยูโรโซนได้ ซึ่งถึงแม้ภาพหลักประเด็นดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงให้แก่อังกฤษ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผลกระทบและสร้างความไม่แน่นอนให้แก่ยูโรโซนด้วย
• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศว่ารัฐบาลจะเตรียมรับมือกับกรณีที่เจรจาการค้าร่วมสหภาพยุโรปไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ หรือ “No Deal” พร้อมเตือนว่าการเจรจกับสหภาพยุโรปอาจมีผลลัพธ์ออกมาได้หลากหลายรูปแบบ
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวง Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงให้กับแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของนางเมย์
• น้ำมันดิบปรับขึ้นท่ามกลางปริมาณการซื้อขายปานกลาง จากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่าปริมาณผลผลิตน้ำมันดิบในแคนาดาจะลดลงจนถึงช่วงเดือนก.ย. ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นจากการคว่ำบาตรอิหร่านและผลผลิตน้ำมันในลิเบียที่ลดลง
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 5 เซนต์ ที่ระดับ 73.85 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 96 เซนต์ ที่ระดับ 78.07 เหรียญ/บาร์เรล
• ประธานกลุ่มโอเปกกล่าวปกป้องประเทศสมาชิกในกลุ่ม หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี กล่าวตำหนิกลุ่มโอเปกว่าจงใจปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน โดยประธานกลุ่มโอเปกระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดปัจจุบัน ไม่ได้เป็นความผิดของกลุ่มโอเปกทั้งหมด