• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 143.07 จุด คิดเป็น +0.58% ที่ระดับ 24,919.66 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิด +0.04% ที่ระดับ 7,759.2 จุด และดัชนี S&P500 ปิดปรับขึ้น 9.67จุด คิดเป็น +0.35% ที่ระดับ 2,793.84 จุด ซึ่งถือว่าดัชนี S&P500 ปิดระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 1 ก.พ.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดแดนบวกหลังจากที่เผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ได้รับอานิสงส์จากหุ้นกลุ่มบริษัท PepsiCo หลังผลประกอบการออกมาสดใส
• รายงานจากรอยเตอร์สทำสรุปตารางผลประกอบการในกลุ่ม S&P ดังนี้
• ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและธนาคารได้รับอานิสงส์จากการปรับลดภาษีนิติบุคคลสหรัฐฯ ดังนี้
• และสุดท้ายเป็นภาพการเคลื่อนไหวขึ้นและลงของดัชนีหุ้นทั่วโลกปี 2018
• ข่าวการที่สหรัฐฯจะประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นแตะ 2 แสนล้านเหรียญ ได้ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด Trade War มากขึ้นระหว่างสองประเทศและทำให้เช้านี้ดัชนี Dow Jones Mini Futures ร่วงลงประมาณ 1% ขณะที่ดัชนี S&P500 E-min Futures ซึ่งเป็นหุ้นอนุพันธ์ที่มีสภาพคล่องมากที่สุดร่วงลงมา 0.8% ในเช้านี้
• เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบเช้านี้ หลังมีข่าวเกี่ยวกับสหรัฐฯกำลังพิจารณาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ จากถ้อยแถลงของนายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯอาจเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10%
โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -0.79% ท่ามกลางดอลลาร์ที่เช้านี้กลับอ่อนค่าลงมา และทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าลงมาบริเวณ 110.85 เยน/ดอลลาร์ ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.96%
• นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทวานนี้ปรับอ่อนค่าตามค่าเงินยูโร เนื่องจากความกังวลต่อทิศทางการเมืองในอังกฤษ หลังรัฐมนตรีอังกฤษประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อประท้วงแผนของนายกรัฐมนตรีในการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับสหภาพยุโรป (EU)