· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน เมื่อเทียบกับเงินหยวนจีนและออสเตรเรียดอลลาร์ หลังรัฐบาลสหรัฐฯส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่าอีก 2 แสนล้านเหรียญ ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ระหว่างสหรัฐฯและจีนกลับมารุนแรงอีกครั้ง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ประกาศให้นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% เป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ มีผลบังคับใช้ ขณะที่ทางการจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยนโยบายภาษีที่มีมูลค่าเท่ากัน
· ส่วนค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.1730 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 94.201 จุด
ด้านค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ที่ระดับ 111.03 เยน/ดอลลาร์ หลังจากทำระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ที่ 111.355 เยน/ดอลลาร์ เมื่อวานนี้
· ค่าเงินหยวนอ่อนค่ากว่า 0.5% แตะระดับ 6.6918 หยวน/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 11 เดือน ที่ 6.7344 หยวน/ดอลลาร์
· ขณะที่ค่าเงินออสเตรเรียดอลลาร์อ่อนค่า 0.6% แตะระดับ 0.7417 ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดของสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 0.7484 ดอลลาร์ ซึ่งยังเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์
· นักวิเคราะห์ FX จาก Barclays ประเมินว่า หลังจากที่สหรัฐฯได้ส่งสัญญาณขึ้นภาษี ตลาดจึงหันไปให้ความสนใจกับท่าทีของรัฐบาลจีน ว่าจะมีการออกนโยบายตอบโต้หรือไม่ ซึ่งหากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีเช่นเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์-เยน และออสเตรเรียดอลลาร์ ก็อาจเผชิญกับแรงกดดันลงมาอย่างหนัก
· นักวิเคราะห์จาก Societe Generale ประเมินว่า เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เคยส่งสัญญาณว่า เขามีเป้าหมายจะขึ้นภาษีถึงระดับ 5 แสนล้านเหรียญ การประกาศขึ้นภาษีคราวนี้จึงยังไม่เป็นประหลาดใจกับตลาดเท่าไหร่นัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตลาดก็มีแนวโน้มจะตอบรับกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับ Trade war ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด
ทั้งนี้ นโยบายภาษีของสหรัฐฯจะยังไม่มีผลบังคับใช้ไปอีกอย่างน้อย 2 เดือน จึงคาดว่าตลาดจะเริ่มผ่อนคลายลงหลังจากนี้ แต่ก็คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะมีความอ่อนไหวต่อข่าว Trade war เป็นพิเศษ
· นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Saxo Bank กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์กลายเป็นปัจจัยหลักต่อการเลือกถือครอง Safe-Haven ของกลุ่มนักลงทุน ซึ่งภาวะความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น จะทำให้พันธบัตรและหุ้นเกิดแรงเทขายลงมา ขณะที่ค่าทองคำก็ยังอยู่ในภาวะอ่อนตัว
· ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ข่มขู่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% เป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเผชิญกับแรงกดดันลดลงมา ขณะที่ทางการจีนก็ได้ออกมาประกาศว่าจะมีการออกมาตรมาตอบโต้เช่นเดิม หากสหรัฐฯทำการขึ้นภาษีจริง
รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศจีน ระบุว่าเขา “ประหลาดใจ” กับประกาศดังกล่าวของสหรัฐฯ พร้อมประนามว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “ยอมรับไม่ได้” โดยสิ้นเชิง
· CEO ประจำสถาบัน ISM ให้ความเห็นว่า “การตัดสินใจลงทุนใดๆถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากความมั่นใจในความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างทันทีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากไม่มีเงินลงทุนเข้ามา อัตราการผลิตในประเทศก็ไม่สามารถขยายตัวขึ้นได้”
· ผู้ประกอบการเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่รายหนึ่งในสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า นโยบายภาษีนั้นคาดเดาได้ยาก รวมถึงความตึงเครียดจาก Trade war ล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันความมั่นคงของเศรษฐกิจและส่งผลกระทบให้อัตราการเติบโตและการลงทุนในประเทศลดลงไปอย่างน่าใจหาย”
· แบบสำรวจโดยสถาบัน ISM ที่ถูกเปิดเผยออกมาในช่วงนี้ ได้บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในสหรัฐฯที่เริ่มลดลง จากความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่อาจทำให้พวกเขาประสบกับต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงความยากลำบากที่จะสามารถการดำเนินการใดๆได้
คณะกรรมการประจำสถาบัน ISM ได้ให้ความเห็นว่า “แม้ปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกจะแข็งแกร่ง แต่กาจ้างงานในสหรัฐฯรวมถึงห่วงโซ่อุปทานเริ่มที่สั่นคลอน เนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นภาษี ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นระยะยาว”
· Neil Dutta นักวิเคราะห์จากสถาบัน Renaissance Macro Research ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของราคาสิ่งของเครื่องใช้สำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานภายในประเทศจะชะลอตัวก็ตาม เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเริ่มที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯแล้ว
โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีราคาสำหรับภาคครัวเรือนขยายตัวสู่ระดับ 15.7% ในภาพรวมรายปี ขณะที่มีรายจากบรรดาผู้ประกอบการในสหรัฐฯว่าพวกเขาเริ่มเห็นว่าราคาวัตถุดิบกำลังปรับสูงขึ้น
· CEO ประจำสถาบันบริหารและจัดการทรัพยากรแห่งสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า บรรดาผู้ประกอบการในประเทศเริ่มชะลอการตัดสินใจ หรือเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินการ ท่ามกลางความกังวลจากมูลค่าของวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น
· นักวิเคราะห์จาก IHS Markit ประเมินว่า คำข่มขู่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ระบุว่าจะขึ้นภาษีเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกของจีน
“รายชื่อสินค้ากลุ่มที่อาจถูกขึ้นภาษี ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อภาคการส่งออกของจีน ซึ่งได้แก่ ตู้เย็น ผ้าฝ้าย เหล็กและอลูมิเนียม รวมไปถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ สิ่งทอ ชิ้นส่วนโลหะ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์
“ภาคการส่งออกของจีนจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับของสหรัฐฯและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ อย่างเช่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ไทย บังกลาเทศ เม็กซิโก และบราซิล”
· รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศจีนประกาศ จีนยังคงยึดมั่นต่อแนวคิดเปิดกว้างทางการค้าระหว่างประเทศต่อไป หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ประกาศข่มขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% เป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวตำหนิเยอรมนีในที่ประชุม NATO ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง โดยระบุว่า เยอรมนีเคยเป็น “ตัวประกัน” ของรัสเซีย
และยังได้ระบุว่าอีกว่า เป็นเรื่องที่ “ไม่เหมาะสม” ที่เยอรมนีมีการแลกเปลี่ยนก๊าสและน้ำมันร่วมกับรัสเซีย พร้อมกดดันให้เร่งเพิ่มงบประมาณสำหรับการป้องกันเป็นการด่วน
· ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง โดยน้ำมันดิบ Brent ลดลงกว่า 1% หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีการค้าใหม่ ๆ ในจีน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.8% ที่ระดับ 78.21 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 0.6% ท่ะรดับ 73.68 เหรียญ/บาร์เรล
· นักวิเคราะห์จาก FXStreet มองว่าระดับแนวรับของราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 73 เหรียญ/บาร์เรล โดยมีระดับจุดตำ่สุดเดิมในสัปดาห์ที่แล้ว 72.2 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากน้ำมันดิบจะกลับเป็นขาขึ้นต้อง Break มายืนเหนือ 74.75 เหรียญ/บาร์เรล และมีโอกาสขึ้นแตะระดับสูงสุดปีนี้ที่ 75.35 เหรียญ/บาร์เรล