• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าจากระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เทขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีดอลลาร์ทะยานขึ้น หลังจากที่ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง 2 คืนยังคงกล่าวย้ำถึงทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ในการกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้น และไม่ได้ให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อความตึงเครียดทางการค้ามากเท่าใดนัก
ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์บริเวณ 95.4 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยปิดที่ระดับ 95.08 จุด
ภาพรวมตลาดการเงินมองว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกจำนวน 2 ครั้งในปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อีซีบีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2019 และการที่เฟดยังคงดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ท่ามกลางธนาคารกลางอื่นๆที่มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยเพียงหนึ่งครั้งในลักษณะค่อยๆปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ จึงยังทำให้หลายๆฝ่ายมองว่าค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าได้ต่อ ซึ่งนักวิเคราะห์จาก RBC คาดว่าในช่วงสิ้นปีมีโอกาสเห็นค่าเงินยูโรร่วงลงมาที่ 1.12 ดอลลาร์/ยูโร สำหรับเมื่อคืนนี้ค่าเงินยูโรปรับอ่อนตัวลง 0.16% ที่ระดับ 1.1640 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 9 ม.ค. บริเวณ 113.13 เยน/ดอลลาร์ ก่อนจะแข็งค่ากลับมาปิดตลาดที่ 112.85 เยน/ดอลลาร์
• ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ พบว่า ยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านใหม่สหรัฐฯร่วงลง 12.3% แตะระดับ 1.173 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.ย. ปี2017 และเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์การปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่พ.ย. ปี 2016 โดยเป็นผลมาจากยอดการสร้างบ้านเดี่ยวและบ้านแบบ Multi-Family ปรับตัวลดลง
ขณะที่ยอดการขออนุมัติการก่อสร้างบ้างก็ร่วงลง 2.2% ที่ระดับ 1.273 ล้านยูนิต นับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.ย. ปี 2017
• บรรดาตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ มีการพูดคุยกับทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯวานนี้ โดยระบุว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นอีก 25% รวมถึงชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์นั้นอาจทำให้ราคายานพาหนะในสหรัฐฯปรับขึ้นสูงขึ้น 8.3 หมื่นล้านเหรียญ/ปี และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคแรงงานนับแสนคน
• รายงานจากภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่า การที่สหรัฐฯเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้บริโภคอย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง การทำประกัน หรือแม้แต่อาจเกิดการโจรกรรมชิ้นส่วนรถยนต์หรือรถยนต์เพิ่มมากขึ้น
• บรรดาเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่บางส่วนในสหรัฐฯและกลุ่มนักลงทุนตลาดหุ้นในสหรัฐฯ กล่าวเตือนในการประชุมด้านการลงทุนร่วมกันเมื่อคืนวานนี้ โดยระบุว่า ผลกระทบจาก Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งยุโรป อาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก รวมทั้งอาจส่งผลให้นักลงทุนต้องปรับทบทวนผลประกอบการภาคบริษัทครั้งใหม่ด้วย
หนึ่งในการกล่าวความคิดเห็นจากทางบริษัท BlackRock ซึ่งมีการลงทุนสูงถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญ กล่าวเตือนว่า ข้อขัดแย้งทางการค้าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน และอาจส่งผลให้ตลาดการเงินต่างๆร่วงลงไปกว่า 15% ได้
• รายงาน Tankan ที่จัดทำผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของญี่ปุ่น เผยว่า ภาคบริษัทส่วนใหญ่มีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และอาจบั่นทอนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกได้
• นายสตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่าสหรัฐฯและจีนมีความขัดแย้งทางการค้ามายาวนานกว่าทศวรรษแล้ว ขณะที่ปัจจุบันสหรัฐฯอยู่ในภาวะ Trade war ร่วมกับจีน และมองว่า Trade war ครั้งนี้จะจบลงโดยที่สหรัฐฯเป็นผู้ชนะ พร้อมกล่าวชื่นชมนายทรัมป์ที่เป็นผู้ยืนหยัดต่อสู้กับจีน
• ทางทำเนียบขาวพยายามที่จะควบคุมเหตุประท้วงภายในสภาที่เกิดจากความไม่พอใจที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เกี่ยวกับการที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และยังได้ปฏิเสธคำพูดของนายทรัมป์ที่เขาได้กล่าวว่ารัสเซียจะไม่มุ่งเป้ามายังสหรัฐฯอีกต่อไป ว่าไม่เป็นความจริง
ด้านนายทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า เขายอมรับผลการประเมินของหน่วยข่าวกรองแห่งสหรัฐฯ ที่ระบุว่ารัสเซียยังคงเป็นภัยคุกคามต่อการเลือกตั้งของสหรัฐฯอยู่ พร้อมระบุว่า โดยส่วนตัวเขามองว่านายปูตินมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อกรณีการแทรกแซงการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ทางวุฒิสภาแห่งสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายคว่ำบาตรเพิ่มเติมสำหรับภาคธุรกิจที่สำคัญของรัสเซีย หากบรรดาสมาชิกสภาประเมินว่ารัสเซียยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่านโยบายดังกล่าวจะสามารถผ่านการลงมติจากทั้ง 2 สภาได้หรือไม่
• รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจองเม็กซิโก เปิดเผยว่า แคนาดา สหรัฐฯ และเม็กซิโก จะสามารถร่วมลงนามข้อตกลง NAFTA ได้ในช่วงปลายเดือนพ.ย.
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นหลังรายงานจากภาครัฐบาลสหรัฐฯ ยังบ่งชี้ถึงภาวะอุปสงค์ในเชิงบวกต่อแก๊สโซลีนและการกลั่นน้ำมัน จึงช่วยบดบังปัจจัยลบจากสต็อกน้ำในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯพุ่งขึ้นแตะ 11ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรก
สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 74 เซนต์ ที่ระดับ 72.9 เหรียญ หรือปรับขึ้นได้กว่า 1% หลังจากที่ระหว่างวันลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 17 เม.ย. บริเวณ 71.19 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 68 เซนต์ หรือคิดเป็น +1% ที่ระดับ 68.76 เหรียญ/บาร์เรล
• รายงานจาก EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งขึ้น 5.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางปริมาณการผลิตน้ำมันที่พุ่งขึ้นแตะ 11 ล้านบาร์เรล/วันได้เป็นครั้งแรก