• ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 13.83 จุด คิดเป็น -0.06% ที่ระดับ 25,044.29 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดปรับขึ้น 5.15 จุด คิดเป็น +0.18% ที่ระดับ 2,806.98 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 21.68 จุด คิดเป็น +0.28% ที่ระดับ 7,841.87 จุด
ดัชนี S&P500 รีบาวน์กลับ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10ปีที่ปรับตัวขึ้น จึงช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงิน ท่ามกลางนักลงทุนที่คาดว่าผลประกอบการบริษัทจะออกมาแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวได้ดี
• รายงานจาก Thomeson Reuters ระบุว่า บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลประกอบการภาคบริษัทไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะขยายตัวได้ 22% ปรับเพิ่มจากคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนที่ 20.7%
• การเจรจาข้อตกลง NAFTA ได้ช่วยหนุนหุ้นสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีเม็กซิโกได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯเพื่อให้เร่งหาแนวทางการเจรจาทางการค้าของข้อตกลงฉบับดังกล่าว และเจ้าหน้าที่จากทางเม็กซิโกและสหรัฐฯมีการจะเข้าพบกันในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ นายฌ็อง คลอด-จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปมีกำหนดการจะพบกับผู้นำสหรัฐฯในวันพุธนี้ เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า
• นักลงทุนบางส่วนก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าที่เกิดขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ หลังจากที่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาดอลลาร์มีการปรับแข็งค่าขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่หลายๆฝ่ายของสหรัฐฯหากลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงและเพื่อปรับให้ค่าเงินอ่อนค่า
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันในเช้านี้ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯปรับขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้
ดัชนีนิกเกอิเช้านี้เปิด +0.41% โดยฟื้นตัวกลับหลังจากปิดร่วงลงไปกว่า 300 จุดวานนี้ ขณะที่ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.12%
• นักบริหารเงิน คาดเงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.35 - 33.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทเมื่อวานกลับมาอ่อนค่า เนื่องจากสหรัฐฯกล่าวหาว่าจีนและสหภาพยุโรปกำลังปั่นค่าเงินเพื่อสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราว เพราะโดยปัจจัยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า