· ค่าเงินปอนด์เข้าสู่ภาวะปรับฐานหลังจากที่รีบาวน์กลับจากระดับ 1.3 ดอลลาร์/ปอนด์ ดังนั้นระยะสั้นยังมีโอกาสเห็นค่าเงินปอนด์มีการดีดกลับได้อยู่ และยืนเหนือแนวต้านแถว 1.3050 ดอลลาร์/ปอนด์ และแนะนำกลยุทธ์ขาขึ้นในระยะสั้นๆ
อย่างไรก็ดี หากค่าเงินปอนด์กลับทดสอบ 1.3117 ดอลลาร์/ปอนด์ ก็มีโอกาสเห็นค่าเงินปอนด์ทำระดับราคาเป้าหมายถัดไปที่ 1.3200 ดอลลาร์/ปอนด์ เพียงแต่ภาพระยะยาวยังเป็นขาลงอยู่
· IMF ระบุว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ 6.7% ในปีนี้และปีหน้า โดยได้รับอานิสงส์จากการอุปโภคบริโภคที่แข็งแกร่ง รวมถึงภาคการลงทุน
อย่างไรก็ดี ให้ระวังความเสี่ยงระยะสั้นจากการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายนอกที่เพิ่มขึ้น
· รายงานจาก Reuters ระบุว่าปากีสถานจะมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นภายในวันนี้ โดยผู้ลงสมัครเลือกตั้งส่วนใหญ่มาจากลัทธิหัวรุนแรง ซึ่งผลของการเลือกตั้งในวันนี้อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้การเผยแพร่ศาสนาในทวีปเอเชียทางใต้และกระแสต่อต้านประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตกมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
· Guenther Oettinger ผู้อำนวยการด้านงบประมาณประจำสหภาพยุโรป แนะนำให้สหภาพหาทางเจรจากับสหรัฐฯเพื่อขอลดภาษีสินค้านำเข้าเป็นวงกว้าง และเพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้งทางการค้า และป้องกัน Trade war
ขณะที่ นายฌ็อง คลอด-จุงเกอร์ ประธานกรรมาธิการอียู มีกำหนดการจะเข้าพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันนี้ เพื่อหารือถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของยุโรป และรวมถึงมาตรการการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป
อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณเชิงลบต่อแนวโน้มการเจรจาระหว่างเขาและประธานกรรมาธิการอียูในวันนี้ โดยนายทรัมป์ได้ทวีตข้อความแสดงความต้องการที่จะยกเลิกภาษีนำเข้าและกำแพงทางการค้าทุกประการกับยุโรป แต่อ้างว่าทางสหภาพยุโรปไม่มีความต้องเช่นนั้น
· รายงานจาก CNBC เผยว่า ทางรัฐมนตรีกระทรวงการต่งประเทศของเยอรมนี กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษควรเดินหน้าเจรจา Brexit รวมถึงกรณีพรมแดนไอร์แลนด์ตอนเหนือด้วย เพื่อให้เกิดความคืบหน้ามากขึ้นและประสบความสำเร็จในการออกจากอียูภายในเดือนต.ค.นี้
· ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) เผยว่า ผลประกอบการร่วงลงไปประมาณ 14% ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการปรับโครงสร้างภาคธนาคารภายใต้ผู้นำคนใหม่ ขณะที่นักวิเคราะห์กว่าครึ่งหนึ่ง มองวา่ มีโอกาสเห็นผลประกอบการปรับลงเกินครึ่งเนื่องจากไม่มีข่าวดีใหม่ๆ ประกอบกับการปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อหนุนผลกำไรบริษัทฯ
· หลังจากที่อีซีบีได้ส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายทางการเงินผิดคาดในการประชุมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ว่าในประชุมของอีซีบีวันพรุ่งนี้ อีซีบีจะคงยังอัตราดอกเบี้ยและนโยบายดังเดิมและส่งสัญญาณที่เป็นกลาง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของยุโรปในปัจจุบัน
สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะจับตาในการประชุมอีซีบี น่าจะเกี่ยวกับมุมมองของอีซีบีที่มีต่อปัจจัยเสี่ยงในเศรษฐกิจ และความคิดเห็นต่อภาวะ Trade war
รายงานจาก Deutsche Bank คาดการณ์ว่า ถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี จะกล่าวออกไปในเชิง “Goldilocks” ไม่ผ่อนคลายหรือคุมเข้มเกินไป เนื่องจากทางอีซีบีได้เคยส่งสัญญาณว่าจะยังคงนโยบายต่อไปจนถึงปี 2019 ทางอีซีบีจึงไม่ต้องการส่งสัญญาณที่ผิดๆ และสร้างความแตกตื่นให้กับตลาด จนต้องออกนโยบายเข้ามาควบคุมโดยไม่จำเป็น
· นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนกำลังรอสัญญาณความหวังที่ว่าผลที่พวกเขาคาดหวังไว้จะเป็นจริงในระยะเวลาอันใกล้เกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งภาวะขาขึ้นของตลาดหุ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงกังวลต่อภาวะ Flattening ในส่วนของ Yield Curve และการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจตัวอื่นจะยังบ่งชี้ถึงความแข็งแรง
ผลสำรวจจาก Reuters ชี้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะค่อยๆชะลอลงในช่วง 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ภาวะคุกคามจาก Trade War ก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในตลาดพันธบัตร มีความเห็นต่างอีกมุมมองว่า Yield Curve จะเกิดการกลับตัวในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้า โดยปักธงไว้ว่ามีโอกาสเห็นอัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับตัวสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว และนั่นจะเป็นการบ่งชี้ถึงการเริ่มเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
· ในการประชุมของคณะกรรมการประจำสถาบันพัฒนาและปฏิรูปแห่งประเทศจีน มีมติเห็นพ้องกันว่า ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนให้กับตลาดแรงงานในประเทศ แต่ยืนยันจะสนับสนุนการจ้างงานในประเทศให้อยู่ในระดับเป้าหมายต่อไป
ทั้งนี้ สถาบันฯได้คงเป้าหมายอัตราว่างงานของคนเมืองในประเทศไว้ที่ระดับ 5.5% สำหรับปี 2018 รวมถึงคงเป้าหมายอัตราว่างงานจดทะเบียนไว้ที่ระดับ 4.5% ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราว่างงานอีกตัวหนึ่ง ไว้ดังเดิมที่ 4.5% เช่นเดียวกัน
· ราคาน้ำมันดิบปรับัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากข้อมูลจากสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานของสหรัฐฯ (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับลดลงมากกว่าที่คาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานล้นตลาดที่กดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเบาบางลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.8% ที่ระดับ 74.01 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 68.79 เหรียญ/บาร์เรล