• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2561

    1 สิงหาคม 2561 | Economic News
·         ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินหยวนและดอลลาร์ออสเตรเรีย หลังสหรัฐฯส่งสัญญาณจะประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกครั้งภายในวันนี้ ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับ Trade war กลับมาอีกครั้ง โดยดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.2% ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าเกือบ 0.5% ขึ้นมาบริเวณ 6.8458 หยวน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับสูงสุดก่อนหน้าที่ระดับ6.8562 หยวน/ดอลลาร์

ด้านค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียอ่อนค่า 0.3% ขณะที่เงินยูโรอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.1682 ดอลลาร์/ยูโร

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Commerzbank ประเมินว่า ผลกระทบจากการส่งสัญญาณจะขึ้นภาษีครั้งนี้ยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากการขึ้นภาษีครั้งที่ผ่านมาของสหรัฐฯ ยังไม่มีผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนแต่อย่างใด แต่นั่นอาจเป็นความประมาทของตลาดเองก็ได้

ส่วนค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน แข็งค่าขึ้น 0.2% บริเวณ 112.10 เยน/ดอลลาร์ โดยค่าเงินเยนยังคงถูกกดดันหลังบีโอเจส่งสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินในการประชุมเมื่อวานนี้

·         ค่าเงินยูโรพยายามขึ้นทดสอบแนว $1.1700 ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน เพื่อใช้เป็นฐาน ก่อนที่จะพยายามขึ้นทดสอบเป้าหมายต่อไปที่ $1.1710 ซึ่งหากค่าเงินสามารถยืนเหนือแนวนี้ได้ ภาพระยะสั้นจะสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ทิศทางอ่อนค่าในระยะสั้นของเงินยูโรยังคงดูมีกำลังมากกว่า โดยประเมินแนวรับสำคัญไว้ที่ $1.1672 ซึ่งถือเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งมาต่อเนื่องหลายสัปดาห์แล้ว


·         การประชุมเฟดที่เริ่มต้นในช่วง 2 วันนี้ ตลาดและนักลงทุนโดยส่วนใหญ่ไม่คาดหวังว่าจะเห็นเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่กลับให้สัญญาณไปยังสัญญาณชี้นำว่าเฟดจะตัดสินใจต่อแผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร โดยอ้างอิงจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group จะเห็นว่า มีโอกาสสูงถึง 97% ที่เฟดจะยังคงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่ปัจจุบันมีกระแสคาดการณ์กันว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกเป็นจำนวน ครั้งในปีนี้ โดยเครื่องมือ FedWatch แสดงให้เห็นว่า มีโอกาส 91% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. อีก 0.25%  และมีโอกาสอีก 86.6% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ย.

·         สำนักข่าว CNBC  คาดว่า เฟดจะยังคงดอกเบี้ยในการประชุมวาระนี้ แต่หลังจบการประชุมอาจเห็นความชัดเจนมากขึ้น เพราะเฟดอาจมีการหารือกันอย่างร้อนแรงเกี่ยวกับกรอบเวลาบรรลุเป้าหมายการปรับนโยบายสู่ภาวะปกติ

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Grant Thornton มองโอกาส 95% ที่จะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งเฟดน่าจะให้สัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะความผันผวนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการฟัง ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดยังไม่มีแนวโน้มจะกล่าวอะไรใหม่ๆ จนกว่าพวกเขาจะมองเห็นแนวโน้มการสิ้นสุดนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย และการตัดสินใจเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเชิงลบอย่างไร

·         หัวหน้านักกลยุทธ์การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยระยะสั้นจาก Bank of America Merrill Lynch ไม่คาดหวังว่าเฟดจะส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงใดๆ จนกว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งประเด็นในสัปดาห์นี้ที่เฟดจะหารือกันไม่น่าเกี่ยวกับสิ่งที่เฟดตั้งใจจดำเนินการกับยอดงบดุลในบัญชีที่จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

·         สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทีมบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 25% เป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ

อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีนำเข้าดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าที่เคยรายงานเอาไว้กว่าเท่าตัว โดยเดิมทีนายทรัมป์ได้เคยกล่าวข่มขู่ไว้ที่ระดับ 10% เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายการสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีได้แก่สินค้ากลุ่มอาหารสารเคมี,  เหล็กและอลูมิเนียมรวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่ครอบคลุมตั้งแต่ อาหารสุนัขเฟอนิเจอร์พรมยางรถยนต์จักรยานถุงมือเบสบอลและสินค้าความงาม

ทางด้านรัฐบาลจีน ยังไม่มีการออกมาแสดงความคิดเห็นต่อข่าวดังล่าวแต่อย่างใด

·         รายงานจาก CNN ระบุว่า ทีมบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแผนจะเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ โดยเป็นการเรียกเก็บ 25% จาก 10%

อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่ได้มีการสรุปและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ท่ามกลางภาวะตึงเครียดทางการค้าหรือ Trade War ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่าง 2 ประเทศ ขณะที่การพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯและจีนดูจะมีความผ่อนคลายได้เพียงเล็กน้อย

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เคยประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปแล้ว 25% มูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ และในเวลานั้นจีนก็ได้ประกาศตอบโต้ในการเรียกเก็บคืน 3.4 หมื่นล้านเหรียญเช่นกัน และการเรียกเก็บครั้งที่ ของสหรัฐฯ คิดเพิ่มเป็นมูลค่า 1.6หมื่นล้านเหรียญ โดยอาจมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในสัปดาห์นี้

·         ภาคอุตสาหกรรมทั่วทวีปเอเชียต่างชะลอการขยายตัวลงในเดือน ก.ค. ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในประเทศใกล้เคียง

โดยผลสำรวจยอดคำสั่งซื้อในประเทศจีน พบว่าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวด้วยอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ยอดส่งออกปรับลดลงด้วยอัตราที่มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2016

ขณะที่ผลสำรวจภาคอุตสาหกรรมในประเทศออสเตรเรียจนถึงญี่ปุ่น พบว่ายอดนำเข้าและส่งออกสินค้าต่างปรับร่วงลงตามประเทศจีน โดยดัชนี Harpex ปรับลดลง 10% จากระดับสูงสุดเมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2011

·         รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การเจรจาระหว่างนายโทชิมิทซึ โมเตกิ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิแห่งญี่ปุ่น และนายโรเบิร์ต ไรท์ไฮร์เซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9 ส.ค. นี้ ไม่ได้เป็นการเบิกทางไปสู่การร่างสัญญาการค้าเสรีทั้ง 2ประเทศแต่อย่างใด และทางญี่ปุ่นก็ยังไม่ต้องการที่จะกำหนดเป้าหมายเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกระหว่างทั้ง 2 ประเทศที่ชัดเจนแต่อย่าง

·         รองรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งเม็กซิโก แสดงความเชื่อมั่นต่อการเจรจาภายใต้สนธิสัญญา NAFTA ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ ระหว่างประเทศแคนาดา และสหรัฐฯ ว่าจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันหรือมีความคืบหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นได้

·         บรรดาเจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการกดดันประเทศอิหร่านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยระบุว่า นายทรัมป์มีจุดมุ่งหมายที่จะกดดันและจำกัดความเคลื่อนไหวของอิหร่าน ที่สหรัฐฯและประเทศในตะวันออกกลางมองว่าเป็นการก่อความไม่มั่นคงให้กับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ นายทรัมป์ได้แสดงความต้องการที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับสนธิสัญญาทางนิวเคลียร์อีกครั้ง พร้อมคาดหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่านได้ 

·         บีโอเจเปิดเผยว่า จำนวนแรงงานผู้หญิงและผู้สูงอายุที่มากขึ้นในตลาดแรงงาน ประกอบกับการที่บรรดาบริษัทในประเทศส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เป็นปัจจัยที่กดดันอัตราค่าจ้างเฉลี่ยและเงินเฟ้อภายในประเทศ ไม่ให้ขยายตัวได้ตามเป้าของบีโอเจ

นอกจากนี้ ทั้งภาคบริษัทและภาคครัวเรือนในญี่ปุ่นต่างไม่มีความต้องการให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศขยายตัวขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากความเคยชินต่ออัตราค่าจ้างและราคาสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำมาติดต่อกันหลายปี

·         รัฐบาลจีนประกาศจะมีมาตรการออกมาตอบโต้สหรัฐฯแน่นอน หากสหรัฐฯทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 25% เป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญจริง

·         นักวิเคราะห์จาก Daily FX ประเมินว่า ตลาดอาจไม่ตอบสนองต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจยูโรโซนที่ประกาศออกมาเท่าไหร่นัก เนื่องจากตลาดส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปยังการประชุมเฟดที่จะทราบผลในคืนนี้ โดยคาดว่าเฟดจะไม่ทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้อย่างใด แต่ตลาดจะจับตาไปยังท่าทีของบรรดาสมาชิกเฟด โดยเฉพาะท่าทีของนายเจอโรม โพเวล ประธานเฟด เนื่องจากตลาดคาดว่านายโพเวลอาจส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินมากขึ้น แม้เขาจะถูกกดดันจากประธานาธิบดีสหรัฐฯเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินมาก่อนหน้านี้ก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สามารถกลับมาแข็งค่าต่อได้

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังจากที่ข้อมูลภาคอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับเพิ่มูขึ้นกว่าที่คาด และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉาะในเอเชีย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นทางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 0.4ที่ระดับ 73.93 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.6% ท่ะรดับ 68.35 เหรียญ/บาร์เรล

·         ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลดลงในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้เป็นเดือนที่มีผลประกอบแย่ที่สุดในรอบ 2 ปี โดยความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์ได้ถูกกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่มีความผันผวนสูงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน

ถึงแม้ราคาน้ำมัน WTI จะถูกกดดันจากการเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก แต่ในภาพระยะยาว ราคายังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น ขณะที่ในภาพรายวัน จะเห็นได้ว่าระดับต่ำสุดในแต่ละวันยังสามารถปรับสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ดังนั้น เป้าหมายของทิศทางขาขึ้นระยะสั้นจะอยู่ที่ระดับ $70.00 ส่วนเป้าหมายในระยะยาวจะอยู่ที่ $75.35 ขณะที่เป้าหมายของทิศทางขาลงจะอยู่ที่ระดับ $67.00 ซึ่งเนระดับต่ำสุดของเดือน ก.ค.

·         นักวิเคราะห์จาก DailyFX คาดว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงทดสอบแนวรับเส้น Uptrend ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.พ. โดยขณะนี้อยู่ที่ 66.53 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาระดับวันปิดต่ำกว่ามีโอกาสเห็นราคาปรับตัวลงไปแถว 64.26 - 63.96 เหรียญ/บาร์เรลได้ แต่หากราคายืนเหนือเส้น Fibonacci Expansion 38.2% ที่ระดับ 71.52 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็มีโอกาสไปเส้นบริเวณ 50% ที่ระดับ 72.89 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com