• รายงานจาก CNBC ระบุว่า ประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ เฟดมีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฟดยังคงดอกเบี้ยในกรอบเดิมระหว่าง 1.75-2% ขณะที่สมาชิกเฟดส่วนใหญ่มองโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ท่ามกลางตลาดแรงงานที่ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งแกร่ง ทางด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งเพิ่มึ้นเช่นเดียวกัน โดยเป็นมุมมองเชิงบวกที่เพิ่มขึ้นจากประชุมเฟดในเดือนมิ.ย. ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% นับตั้งแต่การประชุมในเดือนมิ.ย.
• ถ้อยแถลงหลังการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า สมาชิกเฟดมีการหารือเกี่ยวกับคำตำหนิของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวว่าการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี สมาชิกเฟดไม่มีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินแต่อย่างใด ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งภายในปีนี้
· เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า มีโอกาสมากถึง 91.4% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. และอีก 68.2% น่าจะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
• ค่าเงินดอลลาร์ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่เฟดยังคงดอกเบี้ยและบ่งชี้ถึงสภาวะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงเป็นปัจจัยที่หนุนให้เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ต่อในการประชุมเดือนก.ย.
ดัชนีดอลลาร์เมื่อคืนนี้ปรับขึ้น 0.14% ที่ระดับ 94.629 จุด ขณะที่ความกังวล Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯก็ยังเป็นปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์เวลานี้อยู่
• ความกังวลจากความตึงเครียดทางการค้าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนและลุกลามมายังเศรษฐกิจโลก จึงทำให้นักลงทุนพากันเข้าซื้อค่าเงินดอลลาร์ และขายค่าเงินสกุลอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีน
• ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯมีแผนจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 25% คิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ โดยเป็นการปรับเพิ่มจากครั้งที่แล้ว 10% ขณะที่จีนก็ประกาศกร้าวจะทำการตอบโต้เช่นกัน
• ค่าเงินหยวนอ่อนค่าขึ้นอีกกว่า 0.5% หลังมีการเปิดเผยรายงานแผนภาษีฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการผลิตของจีนชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน ในเดือนก.ค. เพราะได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินหยวน
• นักวิเคราะห์อาวุโสทางด้านค่าเงินบางส่วนมองว่า ภาวะ Trade War ที่ยังคงดำเนินไปจะส่งผลลบในระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นๆจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ได้ก็ตาม
• ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.25% ที่ระดับ 1.1662 ดอลลาร์/ยูโร ภายใต้แรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์
• นางซาราห์ แซนเดอร์ โฆษกทำเนียบขาว เผยว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์จะทำการอัพเดตแผนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังตัดสินใจว่าจะทำการเพิ่มภาษีจาก 10% เป็น 25% เป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ
• กิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯชะลอตัวลงในเดือนก.ค. ที่ระดับ 58.1 จุด จากเดิมในเดือนก่อนหน้าที่ 60.2 จุด ท่ามกลางสัญญาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขณะที่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าดูจะสร้างแรงกดดันต่อภาวะห่วงโซ่อุปทาน และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคการผลิตได้ในระยะยาว
โดยเมื่อวานนี้ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. ที่ระดับ 219,000 ตำแหน่ง หรือปรับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้า 38,000 ตำแหน่ง จึงยังบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วงเริ่มต้นไตรมาสที่ 3 และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เฟดระบุถึงอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น
อย่างไรก็ดี บรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่าย คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลงได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านเงินทุนของกลุ่มโรงงานต่างๆ รวมถึงการชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลก
• ธนาคารกลางอังกฤษหรือบีโออี มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ แม้จะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับกรณี Brexit ที่หลายฝ่ายๆต่างเตือนว่าอาจไม่เหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การลงประชามติ Brexit เมื่อปี 2016
ขณะที่แนวโน้มในอนาคตของ Brexit ที่ยังคงไม่มีความชัดเจน เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษยังคงไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบาย Brexit ได้อย่างเป็นเอกฉันท์ในรัฐสภา ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการภายในอีก 8 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม นายมาร์ค คาร์นี ผู้ว่าบีโออี ได้ระบุว่า แม้เศรษฐกิจในปัจจุบันจะขยายตัวด้วยอัตราปานกลาง แต่ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจเกิดภาวะ Overheat จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำที่ถูกใช้มาตั้งสมัยวิกฤติทางการเงิน ดังนั้น หากบีโออีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้จริง ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้ บรรดานักลงทุนต่างคาดการณ์โอกาส 90% ที่บีโออีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.50% สู่ระดับ 0.75%
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงประมาณ 2% ท่ามกลางรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ออกมาเพิ่มขึ้นเกินคาด ประกอบกับความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบโลก ขณะเดียวกันนักลงทุนมีความวิตกกังวลว่าภาวะตึงเครียดทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์กลุ่มพลังงานได้
น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 1.82 เหรียญ คิดเป็น -2.5% ที่ระดับ 72.39 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.1 เหรียญ คิดเป็น -1.6% ที่ระดับ 67.66 เหรียญ/บาร์เรล