• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นในรอบเกือบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เพิ่มขึ้น และหนุนให้เหล่าเทรดเดอร์ทำการเข้าซื้อค่าเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์เมื่อคืนนี้ปรับขึ้น 0.51% ที่ระดับ 95.109 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 20 ก.ค.
นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโสจาก Manulife Asset Management กล่าวว่า ภาพรวมค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หาวิธีเพิ่มแรงกดดันทางการค้าต่อจีน โดยปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนให้สูงขึ้นที่ระดับ 25% คิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ ขณะที่จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯใจเย็นและกลับมาใช้เหตุผล
ค่าเงินหยวนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากประเด็นสงครามทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีน จึงทำให้เงินหยวนอ่อนค่าไปที่ 6.8808 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่พ.ค. ปี 2017
กลุ่มนักลงทุนในตลาดการเงินกำลังให้ความสนใจไปยังข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค. ของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนนี้ที่คาดว่าผลที่ออกมาจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
• รายงานจาก New York Times ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันทางการค้าของ Trade War กับจีนมากขึ้น โดยมีคำสั่งให้ทีมบริหารพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้า 2 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 25% จากเดิม 10% ขณะที่ยังไม่มีการเจรจาใดๆระหว่าง 2 ประเทศยังคง
• รัฐบาลจีนยังคงยืนยันที่จะออกมาตรการมาตอบโต้หากสหรัฐฯดำเนินการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกครั้งจริง ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ในตลาดเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 25% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่านำเข้า 2 แสนล้านเหรียญ จากเดิมที่เคยข่มขู่ไว้ที่ 10%
• การประกาศข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯเมื่อวานนี้พบว่า มีคนว่างงานน้อยกว่าที่คาดสู่ระดับ 218,000 ตำแหน่ง และเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าเพียง 1,000 ราย จึงยังบ่งชี้ถึงภาวะความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานแม้จะมีความตึงเครียดทางการค้าอยู่ก็ตาม
• ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนมิ.ย. ที่ระดับ 0.7% ขณะที่แผนการใช้จ่ายภาคธุรกิจต่อวัสดุอุปกรณ์ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ จึงยังบ่งชี้ว่ามีโอกาสชะลอตัวต่อในไตรมาสที่ 3 นี้
• ทีมบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกกดดันจากทั้งสมาชิกฝ่ายค้านและพรรคเดียวกันให้พิจาณาเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีเพิ่มเติมให้กับนักลงทุน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการหารือกับสภาคองเกรส
ขณะที่เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวได้ออกมายืนยันว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะปกป้องไม่ให้มูลค่าของสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นจากการจ่ายภาษีที่มากขึ้นจากการขยายตัวของเงินเฟ้อ โดยสำนักข่าว New York Times รายงานว่า หากดำเนินการเช่นนั้นได้จะทำให้งบประมาณของภาครัฐที่ได้จากการเก็บภาษีจะลดลงไปประมาณ 1 แสนล้านเหรียญ
• การประชุมบีโออีเมื่อวานนี้ปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.75% จาก 0.50% ที่เป็นระดับต่ำยาวนานมากว่าทศวรรษตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงิน ขณะเดียวกันบีโออียังไม่มีสัญญาณว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางอังกฤษที่จะออกจากอียูในปีหน้าแต่ยังไม่มีความชัดเจนถึงแผนการออกจากอียู นับตั้งแต่ที่ทำประชามติไปเมื่อปี 2016
• ทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับจดหมายจาก นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เพื่อเป็นการหารือกันต่อจากที่ประชุมร่วมกันไปในเดือนมิ.ย. ที่ประเทศสิงคโปร์ เกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ยังไม่มีแผนว่าจะเกิดการประชุมครั้งที่ 2 เมื่อใด ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจา
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นได้เกือบ 2% หลังจากที่เทรดเดอร์มองว่า รายงานภาคอุตสาหกรรมบ่งชี้ถึงภาวะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯอาจปรับตัวลงได้อีกครั้ง หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.06 เหรียญ คิดเป็น +1.5% ที่ระดับ 73.45 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.3 เหรียญ คิดเป็น +1.9% ที่ระดับ 68.96 เหรียญ/บาร์เรล