• เช้านี้สื่อจีนรายงานถึงการตำหนิการที่สหรัฐฯใช้วิธีอันธพาลในการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และกล่าวเตือนว่า จีนจะหาวิธีโต้ตอบทุกทางเช่นกัน
รายงานดังกล่าวยิ่งตอกย้ำถึงความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯและจีน ซึ่งได้สร้างผลกระทบไปแล้วต่อกลุ่มอุตสาหกรรมตั้งแต่ เหล็กจนถึงรถยนต์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ และอาจมีการกำหนดเป้าหมายการตอบโต้กันต่อไป
• เมื่อวานนี้ จีนประกาศจะทำการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯอีก 25% สู่ระดับ 1.6 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับสินค้าตั้งแต่เชื้อเพลง และสินค้าเหล็ก ตลอดจนยานยนต์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯต่อแผนการเรียกเก็บสินค้าสหรัฐฯอีก 25% มูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญ ที่จะมีผลในวันที่ 23 ส.ค. นี้ ก่อนจะมีแผนขึ้นภาษีอีก 25% กับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าอีก 2แสนล้านเหรียญในเดือนก.ย.
• ผู้เชี่ยวชาญทางการค้าจาก Peterson Institute for International Economics ประจำสหรัฐฯ คาดว่า อาจมีสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่จะหยุดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ใช้นโยบายเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาเป็นชนวนสงคราม และคาดว่าจะเห็นสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 2.50 แสนล้านเหรียญได้ในช่วงก่อนการเลือกตั้งเดือนพ.ย. แม้จะดูว่าเป็นการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะมีผลบังคับใช้ใดๆได้ก่อน ม.ค. ปี 2019
อย่างไรก็ดี จีนอาจเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯสู่ระดับ 1.30 แสนล้านเหรียญในช่วงปลายปีนี้โดยมีแนวโน้มจะเลือกสร้างแรงกดดันและเป็นบทลงโทษต่อบริษัทสหรัฐฯที่ทำธุรกิจในประเทศจีน
• ผลสำรวจโดย Reuters คาดว่า ค่าเงินหยวนจะสามารถแข็งค่ากลับมาเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ได้ภายใน 1 ปี หลังจากที่ค่าเงินหยวนได้อ่อนค่าถึง 5% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินหยวนจะสามารถแข็งค่าได้ต่อเมื่อความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ผ่อนคลายลงไปเท่านั้น
• ค่าเงินปอนด์ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบปี ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับกรณี Brexit ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นแตะ 95.417 จุด ใกล้ระดับสูงสุดรอบ 1 ปีที่ระดับ 95.652 จุดเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ก่อนที่จะร่วงลงแตะ 95.058 จุด โดยปิดอ่อนลงมา 0.16% ด้านค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่าอีก 0.08%ที่ระดับ 6.8256 หยวน/ดอลลาร์
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับลง หลังจากที่ข้อมูลส่งออกจีนชะลอตัวลงจากภาวะอุปสงค์ จึงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ท่ามกลางการซื้อขายที่ใกล้ Break-even จากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯที่ขยายตัวขึ้น
น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 2.23% ที่ระดับ 66.94 เหรียญ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 2.37 เหรียญ ที่ระดับ 72.28 เหรียญ/บาร์เรล
• ยอดคำสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานญี่ปุ่นปรับร่วงลงในเดือนมิ.ย. โดยเป็นการขยายตัวได้อย่างรวดเร็วที่สุดในช่วง 6 เดือน จากภาคบริษัทที่มีการคาดการณ์กันว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะปรับตัวลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายต้นทุนก็อาจชะลอลง