· ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ที่ระดับ 96.862 จุด ท่ามกลางแรงหนุนจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศตุรกี ที่ทำให้นักลงทุนหันเข้าซื้อค่าเงินดอลลาร์เพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นจากแนวโน้มว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งก่อนหน้าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่คาดการณ์ไว้ในการประชุมเดือนหน้า
ขณะที่ค่าเงินลีราตุรกีแข็งค่ากลับขึ้นมาได้บางส่วน ที่บริเวณ 5.7503 ลีรา/ดอลลาร์ จากระดับปิดเมื่อวานนี้ที่ 6.3577 ลีรา/ดอลลาร์
ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงใกล้ระดับ 1.13 ดอลลาร์/ยูโร เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ค. ปี 2017 ขณะที่ค่าเงินปอนด์อังกฤษอ่อนค่าลงใกล้ระดับ 1.27 ดอลลาร์/ปอนด์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปี 2017
· The National Retail Federation ของสหรัฐฯ ระบุว่า ยอดค้าปลีกในปี 2018 มีคาดการณ์ว่าจะปรับตัวสูงขึ้นได้กว่าที่เคยประเมินไว้ อันเป็นผลมาจากแผนปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ และข้อมูลบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่ปรับขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายของกลุ่มผู้ค้าปลีก ที่ไม่รวมกลุ่มยานยนต์, ปั๊มน้ำมัน และร้านอาหาร น่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 4.5% จากเดิมที่ประเมินไว้ในกรอบ 3.8 - 4.4%
ประธานบริหาร หรือ CEO ประจำ NRF กล่าวว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ประกอบกับความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และภาคครัวเรือนที่มีการขยายตัวได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ดูจะช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
· รัฐบาลจีนยังคงยืนยันที่จะพยายามควบคุมระดับหนี้สินภาคครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แม้ว่าทางรัฐบาลจะเพิ่งประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ออกไปเมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯที่กำลังระอุอยู่
· ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งวิเคราะห์ว่า ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังระอุอยู่ในปัจจุบัน ทางการจีนอาจใช้กลยุทธ์ตอบโต้สหรัฐฯผ่านการใช้ “มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์” หรือเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ “มองไม่เห็น”
มาตรฐานที่กล่าวมาหมายถึงกฏระเบียบของการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่รัฐบาลจีนเป็นผู้กำหนด ซึ่งบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศจีนจำเป็นจะต้องเคารพในกฏระเบียบตัวนี้ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางรัฐบาลจีนก็มีการออกกฏระเบียบใหม่ๆสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตออกมาไม่ต่ำกว่า 300 ตัว
กฏระเบียบที่รัฐบาลออกใหม่นั้น ได้ส่งผลกระทบทำให้บริษัทต่างชาติบางส่วนมีความยากลำบากมากขึ้นที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจในตลาดจีน ซึ่งหมายความว่า หากรัฐบาลจีนต้องการตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จีนก็อาจพิจารณาออกมากฏระเบียบตัวใหม่ที่จะชะลอการเข้ามาลงทุนจากบริษัทต่างชาติได้หรืออาจทำให้มีงบประมาณในการลงทุนที่สูงขึ้นได้ หรืออย่างรุนแรงที่สุดก็อาจทำให้บางบริษัทต่างชาติจำเป็นต้องปิดตัวลงในตลาดจีน
ทั้งนี้ เริ่มมีกระแสคาดการณ์กันมากขึ้น ที่ทางรัฐบาลจีนอาจะพิจารณาใช้กลยุทธ์ตามที่ได้อธิบายมา โดยหากจีนดำเนินการเช่นนั้นจริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็จะสามารถคาดการณ์หรือคำนวณได้ยาก และผลกระทบของมันก็จะคงอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานมากกว่าความขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเสียอีก
· รัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยอ้างว่า “เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐฯที่ทำให้เศรษฐกิจของตุรกีได้รับความเสียหาย” หลังจากที่ในวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรมัป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศอนุมัติให้ขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้าจากตุรกี ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ประเทศจากการที่ตุรกีสั่งจับกุมบาทหลวงชาวสหรัฐฯ และปัญหาทางการเมืองอื่นๆ
นอกจากนี้สหรัฐฯยังได้กล่าวข่มขู่จะเพิ่มมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจกับตุรกีอีก หากทางตุรกียังคงไม่ปล่อยบาทหลวงชาวสหรัฐฯ
· รายงานจากสำนักข่าว ISNA แห่งอิหร่านระบุว่า รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันแห่งอิหร่านจะเดินไปร่วมการประชุม JMMC ที่เป็นการประชุมระหว่างบรรดาคณะกรรมการของประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งในกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มที่มีหน้าที่สำหรับการติดตามและวัดกำลังการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศ ภายในเดือน ก.ย. นี้
· ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวกรอบด้านล่าง โดยหากภาพระดับวันปิดเหนือ 68.48 เหรียญ/บาร์เรล ก็มีโอกาสเห็นราคาพุ่งไปเหนือ 69.89 - 70.41 เหรียญ/บาร์เรล แต่หากหลุดต่ำกว่าLow เดิมเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ 65.74 เหรียญ/บาร์เรล จะมีเป้าหมายถัดไปที่ 64.26 เหรียญ/บาร์เรล และ 63.96 เหรียญ/บาร์เรลได้
· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากรายงานปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ตลาดกังวลว่าปริมาณอุปสงค์น้ำมันอาจปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลง 12 เซ็นต์ หรือ 0.2% บริเวณ 72.34 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 23 เซ็นต์ หรือ 0.3% บริเวณ 66.81 เหรียญ/บาร์เรล