• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2561

    16 สิงหาคม 2561 | Economic News

·         ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดรอบ 13 เดือน จากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่ลดลง ประกอบกับค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีการรีบาวน์บ้างจากการที่จีนจะส่งตัวแทนเจรจากับสหรัฐฯในช่วงปลายเดือนนี้เพื่อเจรจาทางการค้า

ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.17% มาแถว 96.536 จุด จากระดับสูงสุดรอบ 13 เดือนบริเวณ 96.984 จุด ขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าลงมาอีก 0.35% ที่ระดับ 6.911 จุด จากระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 15 เดือนที่ 6.934 จุด

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.25% ที่ระดับ 1.1373 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากร่วงลงไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 14 เดือนที่ 1.1301 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์ปรับขึ้น 0.15% ที่ระดับ 1.2715 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่ไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดบริเวณ 1.2662 ดอลลาร์/ปอนด์ ในส่วนของค่าเงินเยนมีการปรับอ่อนค่าขึ้นมาที่ 110.82 เยน/ดอลลาร์ หลังจากลงไปทำระดับแข็งค่าที่สุดวานนี้บริเวณ 110.46 เยน/ดอลลาร์

·         ค่าเงินลีราตุรกีอ่อนค่าลงแต่ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 6.0 ลีรา/ดอลลาร์ หลังสหรัฐฯประกาศจะไม่ยกเลิกนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากตุรกี แม้จะมีแรงหนุนบางส่วนมาจากการประกาศจะช่วยเหลือเศรษฐกิจตุรกีโดยรัฐบาลประเทศกาตาร์ก็ตาม

โดยค่าเงินลีราเคลื่อนไหวแถวระดับ 5.98 ลีรา/ดอลลาร์ จากเดิมที่ปิดตลาดวานนี้ที่ 5.95 ลีรา/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ค่าเงินลีราคาได้อ่อนค่าถึง 36% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ภายในปีนี้

·         กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรบริษัทสัญชาติจีนและรัสเซียที่มีการดำเนินการขนส่งสินค้าและดำเนินธุรกิจร่วมกับเกาหลีเหนือ

โดยทางกระทรวงฯได้ประกาศคว่ำบาตรนิติบุคคลจำนวน 1 คน และอีก 3 องค์กร ซึ่งได้แก่บริษัทสัญชาติจีนจำนวน 2 บริษัท ที่เป็นบริษัทโลจิสติกส์และมีเครือข่ายตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ และบริษัท Profinet ของรัสเซีย และผู้อำนวยการของ Profinet

·         นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ประเมินว่า หากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่ออัตราการเติบโตที่แท้จริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีโอกาสสูงที่ทางเฟดอาจพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ในปัจจุบันเฟดยังคงคาดการณ์ว่าจะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบีย้ได้อี 2ครั้งภายในปีนี้ โดยตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองไว้ว่า เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปี 2019

นักวิเคราะห์จาก Leuthold Group ประเมินว่า หากค่าเงินดอลลาร์ยังคงทิศทางแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เฟดก็อาจจะต้องระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ยังได้คาดการณ์ว่านายทรัมป์อาจมีท่าทีที่อ่อนข้อให้กับจีนหรือประเทศคู่ค้ามากขึ้นเมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งกลางวาระ หรือหาก Trade war ได้กลายเป็นปัจจัยกดดันทางการเมืองให้กับนายทรัมป์และพรรคการเมืองของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเศรษฐกิจสหรัฐฯส่งสัญญาณของการชะลอตัวเป็นวงกว้าง นั่นก็จะกลายเป็นแรงกดดันให้กับนายทรัมป์อย่างหนักเช่นกัน

อย่างไรก้ตาม นักวิเคราะห์จาก Bleakley Advisory Group ประเมินว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีน่าจะไม่สามารถคงอยู่ในระยะยาวได้ ดังนั้น เฟดจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยที่จะส่งผลแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้น

·         รัฐบาลสหรัฐฯยังคงยืนยันที่จะไม่ยกเลิกมาตรการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้าจากตุรกี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้ค่าเงินลีราอ่อนค่าลงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ทางรัฐบาลประเทศกาต้าร์จะช่วยเก้อหนุนเศรษฐกิจตุรกีด้วยการร่วมลงทุนเป็นเงินมูลค่า 15 ล้านเหรียญ

·         ภาพรวมตลาดรอคอยความหวังที่ว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถลดความตึงเครียดทางการค้าได้ หลังจากมีรายงานข่าวที่ว่า รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนเดินทางเพื่อเจรจากับสหรัฐฯในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้  และข่าวนี้ได้ทำให้ดัชนี FTSE100 และ S&P500 ปรับตัวขึ้นได้ก่อนเปิดตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก รวมทั้งอาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวขึ้นได้


·         รัฐบาลจีนจะส่งรองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เพื่อร่วมประชุมระดับล่างกับตัวแทนจากสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศภายในเดือน ส.ค. นี้ ซึ่งจะถือเป็นการเจรจาร่วมกันครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หลังการเจรจาครั้งล่าสุดไม่ประสบผลสำเร็จ

ทั้งนี้ รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศจีนจะพบกับนายเดวิด มัลพาส รองรัฐมนตรีด้านมหาดไทยแห่งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า รัฐบาลจีนได้อนุมัติการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทั้งหมด 17 โครงการ รวมเป็นมูลค่าการลงทุนถึง 7.769 หมื่นล้านหยวน (1.124 หมื่นล้านเหรียญ) จากเดิมในเดือน มิ.ย. ที่มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2.08 หมื่นล้านหยวน ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในแผนกระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ หลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงในปีนี้

·         รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งตุรกี เปิดเผยว่าทางรัฐบาลตุรกีมีความยินดีที่จะเจรจากับสหรัฐฯอีกครั้ง ตราบใดที่สหรัฐฯเลิกข่มขู่ที่จะคว่ำบาตรตุรกี ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและกลุ่ม NATO หลังจากค่าเงินลีราอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์

·         ราคาน้ำมันดิบวันนี้ปรับตัวขึ้นได้หลังจากที่ร่วงลงไปเมื่อคืนนี้ หลังจีนกล่าวว่ามีการส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสหรัฐฯเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังเป็นประเด็นเด่นของตลาดโลก

อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในตลาดน้ำมันยังคงเป็นขาลง ท่ามกลางความขัดแย้งและความวิตกกังวลจากทิศทางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่  โดยน้ำมันดิบ Brent วันนี้ทรงตัวที่ 71.11 เหรียญ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นมาประมาณ 0.5% จากระดับปิดวานนี้ และน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นประมาณ 0.2% ที่ระดับ 65.17 เหรียญ

·         ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันจากข้อมูล EIA ที่เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาด ซึ่งนักวิเคราะห์จาก DailyFX แนะนำให้จับตาบริเวณแนวรับ 63.96 – 64.26 เหรียญ/บาร์เรล เพราะหากปิดต่ำกว่ามีโอกาสเห็นราคาลงมาที่ระดับแนวรับถัดไป 61.48 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกันหากราคายืนเหนือกรอบดังกล่าวได้ มีโอกาสเห็น 68.42 เหรียญ/บาร์เรล และหากยืนเหนือได้มีโอกาสขึ้นไปที่ 69.89 – 70.41 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com