• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากในเดือนส.ค. แต่ภาพรวมนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจตึงเครียดมากขึ้นต่อข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯข่มขู่จะทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม เช้านี้ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 95.37 จุด ทางด้านค่าเงินเยนปรับแข็งค่าลงมาเล็กน้อยที่ 110.96 เยน/ดอลลาร์
• ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯยิ่งตอกย้ำว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมระหว่าง 25-26 ก.ย.นี้ และเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อหลังข้อมูลจ้างงานรัฐบาลเมื่อคืนวันศุกร์ยังคงแข็งแกร่ง และนอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยไปได้จนถึงช่วงกลางปี 2019 จึงจะมีการพิจารณาถึงเรื่องการหยุดการขึ้นดอกเบี้ย
• นางลอเร็ตต้า เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาเคฟแลนด์ ระบุว่า การขยายตัวของภาคแรงงานและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าแรงจะส่งผลให้เฟดเดินตามแผนการข้นดอกเบี้ยต่อ และขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจนั้นเผชิญกับภาวะ Overheating
• การประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งเกินคาดสู่ระดับ 201,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงปรับขึ้น 0.4% หรือขยับอีก 10 เซนต์ในเดือนส.ค. และส่งผลให้ภาพรวมค่าแรงเฉลี่ยปีนี้ปรับขึ้นได้ 2.9% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการขยายตัวได้มากที่สุดนับตั้งแต่มิ.ย. ปี 2009 ขณะที่อัตราว่างงานสหรัฐฯทรงตัว 3.9%
การขยายตัวของภาคแรงงานเพิ่มขึ้นเกือบทุกภาคส่วน แม้ว่าภาคการผลิตจะมีการจ้างงานลดลงประมาณ 3,000 ตำแหน่ง และเป็นครั้งแรกที่ร่วงลงในรอบ 13 เดือน หลังจากที่เดือนก.ค. มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 18,000 ตำแหน่ง
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวข่มขู่ว่าพร้อมที่จะทำการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า “ทุกรายการ” จากประเทศจีน โดยจะคิดเป็นมูลค่าภาษีเพิ่มเติมอีก 2.67 แสนล้านเหรียญ เพิ่มเติมจากภาษีนำเข้า 2 แสนล้านเหรียญที่มีแนวโน้มจะประกาศในอีกไม่กี่วันนี้
โดยนายทรัมป์ได้กล่าวว่า “นโยบายภาษีมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ อาจถูกประกาศในเร็วๆนี้ ขึ้นอยู่กับท่าทีของทางประเทศจีน ส่วนนโยบายภาษี 2.67 แสนล้านอาจถูกประกาศออกมาแบบกะทันหันก็ได้ หากผมต้องการเช่นนั้น”
ทั้งนี้ สำหรับนโยบายภาษีมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ รายการสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีจะรวมสินค้าของผู้บริโภคบางรายการ เช่น กล้อง, เครื่องบันทึกเสียง, กระเป๋าสัมภาระ, ยางรถยนต์, และเครื่องดูดฝุ่น ที่อาจถูกขึ้นภาษีตั้งแต่ 10% – 25%
ทางด้านนายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึษาด้านเศรษฐกิจประจำตัวนายทรัมป์ได้ออกมากล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่ายังจำเป็นต้องใช้เวลาในการพิจารณาความคิดเห็นสาธารณะที่ทางรัฐบาลได้รับมาเสียก่อน ถึงจะสามารถประกาศรายชื่อสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีรวมเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะนโยบายภาษีชุดล่าสุดจะยังไม่ได้ปรับขึ้นภาษีสินค้าในกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากจีนที่มีมูลค่ามากที่สุดของสหรัฐฯ แต่ถ้าหากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีอีก 2.67 แสนล้านเหรียญ โทรศัพท์มือถือก็อาจถูกรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
• ยอดเกินดุลการค้าของจีนที่มีกับสหรัฐฯขยายตัวมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ในเดือนส.ค.สู่ระดับ 3.105 หมื่นล้านเหรียญ จากเดิมที่ 2.809 หมื่นล้านเหรียญในเดือนก.ค. ท่ามกลางการส่งออกที่ขยายตัว จึงอาจส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯเดินหน้ากดดันทางการค้าอย่างรุนแรงมากขึ้นได้
• ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯและญี่ปุ่นจะเริ่มต้นหารือกันถึงประเด็นการค้า โดยที่ญี่ปุ่นคงตระหนักดีถึงปัญหาใหญ่ หากข้อตกลงระหว่างเราไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้ ขณะที่อินเดียมีการเรียกร้องให้เริ่มต้นเจรจาข้อตกลงการค้าด้วยเช่นกัน
• รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรกรรมแห่งสหรัฐฯ ชี้ แคนาดาต้องยกเลิกนโยบายกดราคาผลิตภัณฑ์นมสด เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลง NAFTA กับสหรัฐฯได้
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า รัฐบาลแคนาดามีนโยบายกระตุ้นจำนวนการผลิตนมสดเพื่อนำเข้าสู่ตลาดส่งออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนนี้จะถูกนำไปใช้ต่อในการผลิตชีสหรือโยเกิร์ต จึงทำให้เกษตรกรสหรัฐฯได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
• สำหรับกรณีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือนั้น ผู้นำสหรัฐฯเชื่อว่าจะได้รับข่าวดีจากผู้นำเกาหลีเหนือผ่านทางจดหมาย หลังจากที่ภาพรวมยังมีสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
• สำนักข่าวประจำรัฐบาลจีนรายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้กล่าวกับตัวแทนการเจรจาของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน โดยยืนยันว่าเกาหลีเหนือยังคงดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์ตามที่ตกลงกับสหรัฐฯเอาไว้ และหวังว่าสหรัฐฯจะทำตามสัญญาที่พวกเขาให้ไว้เช่นเดียวกัน
• สำหรับการเดินขบวนเฉลิมฉลองการก่อตั้งประเทศของเกาหลีเหนือครบรอบ 70 ปีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณอันดีที่ในขบวนพาเหรดมีเพียงขบวนแห่และดอกไม้ โดยปราศจากมิสไซน์ จึงเป็นสัญญาณอันดีต่อแนวทางสันติสุขและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
• สำนักข่าว New York Time รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเวเนซูเอล่า กล่าวตำหนิสหรัฐฯในการพยายามแทรกแซงและสนับสนุนทางทหารอย่างหลับๆ หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯมีการเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ทางทหารของเวเนซูเอล่าเพื่อหารือถึงแผนการทำรัฐประหาร
• เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เวเนซูเอล่ามีการผ่อนคลายกฎการควบคุมค่าเงินในรอบ 15 ปี การปรับลดเงื่อนไขกฎธนาคารเอกชน และการอนุมัติอัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่อยู่อาศัยจนถึงการขายดอลลาร์ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังสงสัยว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยแก้ไขวิกฤตและปัญหาทางเศรษฐกิจได้หรือไม่
• สำนักข่าว TASS News เผยว่า รัสเซียจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 หมื่นล้านรูเบิล (143 ล้านเหรียญ) ในการสนับสนุนโครงการอุปสงค์รถยนต์ปี 2019
• นายริค แพรี่ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานแห่งสหรัฐฯ มีกำหนดการจะพบกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจากซาอุดิอาระเบียภายในวันจันทร์นี้ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ โดยจะเจรจาเกี่ยวกับกำลังการผลิตน้ำมันและการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน และในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ นายแพรี่ มีกำหนดการจะพบกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจากรัสเซีย ณ กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย เพื่อเจรจาในหัวข้อเดียวกัน
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงคืนวันศุกร์ซึ่งถือเป็นการปิดลงต่อเนื่อง 3 วันทำการโดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ การอ่อนตัวของตลาดหุ้น และผลกระทบที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ของพายุ Gordon ที่ส่งผลกระทบต่อชายฝั่งสหรัฐฯที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมัน
น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 30 เซนต์ ที่ระดับ 76.2 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 49 เซนต์ ที่ระดับ 67.28 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำมันดิบ WTI ยังอยู่แดนลบกว่า -3.5% และน้ำมันดิบ Brent สัปดาห์ที่แล้วปรับลง 1.6%
• ปริมาณยอดนำเข้าน้ำมันจากจีนปรับตัวขึ้น 6.5% ในเดือนส.ค. โดยเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่พ.ค. เพราะตลาดได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์จากบริษัทรายย่อย และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันภาคเอกชน