· รายงานจาก Bloomberg สะท้อนให้เห็นว่า โอกาสที่จีนจะหลุดพ้นจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯดูจะมีเพียงเล็กน้อยที่จะไม่ให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่ดูจะบั่นทอนในเร็วๆนี้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีท่าทีคุกคามทางการค้ากับจีนมากขึ้น โดยระบุถึงความพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีน และนี่เป็นสิ่งที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ มองว่า ผลกระทบทางการค้าจะเป็นไปอย่างจำกัด แต่จะส่งผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจาก HIS Markit สิงคโปร์ กล่าวว่าปัญหาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จะส่งผลให้บรรดาผู้ส่งออกของจีนได้รับผลกระทบอย่างหนัก และจีดีพีปี 2019 ดูมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ลดลง ซึ่งหากว่าสหรัฐฯยังจ้องจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม ภาคการส่งออกก็จะเผชิญปัญหาเป็นระยะเวลานาน และยากลำบาก แม้ว่ารัฐบาลจะหามาตรการมาเยียวยาผลกระทบก็ตาม
· ถ้อยแถลงของทีมบริหารของนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ต้องการจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มสู่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญ ก็ดูจะได้รับการตอบกลับจากจีนในเชิงที่จะเคลื่อนไหวหรือตอบโต้สหรัฐฯด้วยปริมาณการเรียกเก็บภาษีที่เท่าๆกัน และส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมีความกังวลว่าความตึงเครียดดังกล่าวหรือความขัดแย้งของสองประเทศอาจลุกลามยาวนานกว่าช่วงเลือกตั้งกลางเทอมขของสหรัฐฯในเดือนพ.ย.
นักเศรษฐศาสตร์จาก The American Enterprise Institute กล่าวว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะกินระยะเวลานานกว่า 2 ปี สำหรับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และสิ่งที่สหรัฐฯต้องการ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้าอย่างหนักในจีน ซึ่งอาจบั่นทอนพฤติกรรมการบริโภคของชาวจีนได้ด้วยเช่นกัน
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ผู้นำจีนกำลังเตรียมหารมาตรการสำหรับการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออกของชาวจีน ที่เผชิญกับปัญหาความตึงเครียดทางการค้าที่ดูจะลุกลามต่อไป
โดยจะเห็นได้ว่า จีนพยายามหานโยบายเพื่อพยุงค่าเงินหยวนในเดือนนี้เพื่อให้มีเสถียรภาพ ขณะที่จีน็พร้อมเดินหน้าทำทุกอย่าง โดยต้องการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 2 แสนล้านเหรียญ
· อัตราเงินเฟ้อจีนประจำเดือนส.ค.ชะลอตัว ท่ามกลางปริมาณความต้องการที่ลดลง ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตแบบชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับประเด็นสงครามทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NSB) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ปรับตัวสูงขึ้น 4.1% จากปีก่อนหน้านี้
· พรรคร่วมรัฐบาลอิตาลีมีกำหนดจะเสนอแผนงบประมาณสำหรับปี 2019 ภายในเดือนหน้า อย่างไรก็ตาม อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลีได้ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจอิตาลีอาจไม่สามารถรับมือกับสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจแม้แต่เพียงเล็กน้อยได้เลย
· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยืนยันจะเดินหน้าปรับขึ้นภาษียอดขายภายในเดือนต.ค. ปี 2019 ตามกำหนดการเดิมที่วางไว้ พร้อมจะทำการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินและออกนโยบายบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากระดับภาษีที่สูงขึ้น
โดยนายอาเบะอ้างว่า ตนได้รับบทเรียนจากการปรับขึ้นภาษียอดขายเมื่อ 2014 ที่ทำให้การใช้จ่ายส่วนบุคคลได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนั้นรัฐบาลจึงเตรียมนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อรับมือกับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษี
· นายเอริค โรเซนเกร็น ประธานเฟดสาขาบอสตัน กล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด พร้อมเตือนว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีระดับดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่คาดไว้ ท่ามกลางความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ 2% ตามเป้าหมาย ประกอบกับตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
· กระทรวงต่างประเทศจีน ระบุว่า จีนพร้อมจะตอบโต้การขึ้นภาษี หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวข่มขู่ว่าพร้อมที่จะทำการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า “ทุกรายการ” จากประเทศจีนที่มีแนวโน้มจะประกาศในอีกไม่กี่วันนี้
· Jonathan Slone ประธานเครือบริษัท CLSA กล่าวเตือนว่า ตลาดอาจกังวล Trade war ระหว่างสหรัฐฯ-จีน “มากเกินไป” และมันอาจไม่ร้ายแรงเท่าที่บรรดานักลงทุนคาดการณ์ไว้ เนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่จะใช้ระยะเวลามากพอสมควรในการที่จะเปลี่ยนแปลงกระแสของการค้า ประกอบกับการที่จีนเป็นเขตเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่อาจถูกขับเคลื่อนได้โดยง่าย
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลาง การขุดเจาะของสหรัฐฯหยุดชะงักลงและตลาดเริ่มให้ความสนใจไปยังประเด็นการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่อการส่งออกน้ำมันดิบอิหร่านเริ่มเข้ามาในเดือนพ.ย.นี้
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.7% ที่ระดับ 68.23 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.8% ที่ระดับ 77.46 เหรียญ/บาร์เรล
· นักวิเคราะห์จาก DailyForex กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI แกว่งตัวในกรอบเมื่อวันศุกร์ และจากกราฟจะเห็นได้ว่าราคาพยายามมที่จะปรับขึ้นต่อ ซึ่งน่าจะมีแรงซื้อเพื่อปิด Gap ราคาน้ำมันที่อยู่ต่ำกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรลได้ และนั่นมีโอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวสูงขึข้นต่อ แต่หากราคาจะปรับตัวลงต่อได้ราคาต้องมาปิดใกล้แถวระดับ 65 เหรียญ/บาร์เรล