• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่หนุนให้นักลงทุนเลือกถือครองค่าเงินในฐานะ Safe-Haven
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.09% ที่ระดับ 95.239 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงยังคงมีแรงหนุนจากข้อตกลง Brexit ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ โดยเมื่อวานนี้ค่าเงินยูโรปิด +0.4% ที่ระดับ 1.16445 ดอลลาร์/ยูโร
• นักวิเคราะห์จาก FXTM ระบุว่า ภาวะการตึงเครียดในตลาดโลกมีผลกดดันค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าจากโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับความผันผวนในตุรกีและอาร์เจนตินาที่ดูจะกระตุ้นความวิตกกังวลของกลุ่มนักลงทุน และทำให้แนวโน้มความต้องการสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ลดน้อยลงด้วย
• ผลการประกาศข้อมูลการเปิดรับสมัครตำแหน่งงานใหม่ของสหรัฐฯ (Job Openings) ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. แตะระดับ 6.94 ล้านตำแหน่ง หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.2 แสนตำแหน่ง ซึ่งถือว่ามีการเปิดรับสมัครงานที่มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติข้อมูลในเดือนธ.ค. ปี 2000 จึงยังสะท้อนถึงภาวะแข็งแรงของตลาดแรงงานและความเชื่อมั่นที่ว่าอาจเห็นการปรับเพิ่มค่าแรงขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานที่อาจช่วยหนุนการเพิ่มการขยายตัวของค่าแรง ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนกล่าวเตือนว่า การขาดแคลนแรงงานจำนวนมากก็อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ แต่ข้อมูลของกระทรวงแรงงานล่าสุดเกี่ยวกับการเปิดรับสมัครตำแหน่งงานใหม่ก็ยังจะเป็นปัจจัยที่สะท้อนต่อโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยระหว่างการประชุม 25 – 26 ก.ย.นี้
• รายงานจากเฟดสาขาแอตแลนต้า เปิดเผยโมเดลคาดการณ์จีดีพีสหรัฐฯ โดยมองว่าไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวได้ที่ 3.8% โดยปรับลดจากประมาณการณ์ก่อนหน้า ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.4% อันเป็นผลมาจากการจ้างงานเอกชนที่ชะลอตัวลง
• รัฐบาลจีนยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยระบุว่าต้องการออกมาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นมูลค่า 7 พันล้านเหรียญต่อปี เนื่องจากสหรัฐฯได้ละเมิดข้อตกลงของ WTO ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม การยื่นเรื่องต่อ WTO ครั้งนี้ อาจใช้เวลาเป็นปีจนกว่าจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจน เนื่องจากอาจมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องของบทลงโทษสหรัฐฯและมูลค่าที่จะสูญเสียจากการคว่ำบาตร
ทั้งนี้ ในรายงานที่จีนได้ยื่นต่อ WTO ได้ระบุไว้ว่า เศรษฐกิจจีนได้รับความเสียหายจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯเป็นมูลค่า 7.043 พันล้านเหรียญต่อปี ดังนั้น จีนจึงยื่นเรื่องต่อ WTO เพื่อขออนุมัติสร้างกำแพงทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯที่มีมูลค่าเท่าเทียมกัน
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อให้รัฐบาลสามารถประกาศคว่ำบาตรองค์กรต่างชาติหรือบุคคลใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ โดยข้อมูลดังกล่าวจะอ้างอิงจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯเป็นหลัก
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวของนายทรัมป์น่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องการเลือกตั้งกลางวาระจากการแทรกแซงภายนอก โดยการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. นี้ ถึงแม้ว่านายทรัมป์จะยังคงถูกสอบสวนเกี่ยวการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ก็ตาม
• รายงานจากแคนาดาระบุว่า ตัวแทนการเจรจาของแคนาดากำลังยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯสามารถเข้าถึงตลาดผลิตภัณฑ์นมสดของแคนาดาได้อย่างจำกัด เพื่อเป็นการหาจุดยืนร่วมกันในการเจรจาภายใต้สนธิสัญญาNAFTA ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
ทั้งนี้ การเจรจา NAFTA ระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดา ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ใน 3 หัวข้อหลัก ซึ่งหนึ่งนั้น ก็คือปัญหาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนมสดของแคนาดา ตามมาด้วยปัญหาในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า และการปกป้องสื่อของแคนาดา
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นเมินข่าวที่ว่า Trade War จะเป็นปัจจัยสกัดกั้นอุปสงค์น้ำมัน จากการส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตลาดสนใจต่อข่าวสหรัฐฯคว่ำบาตรภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของอิหร่านที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะอุปสงค์ โดยน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 2.53% ที่ระดับ 69.25 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด+2.18% ที่ 79.06 เหรียญ/บาร์เรล