• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 8.68 จุด คิดเป็น +0.03% ที่ระดับ 26,154.67 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.03% ที่ระดับ 2,904.98 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -0.05% ที่ระดับ 8,010.04 จุด
ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปิดแดนบวกจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นกลุ่มพลังงาน แม้ว่าตลาดจะอ่อนตัวลงจากรายงานที่ว่าสหรัฐฯอาจเปิดเผยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าชุดใหม่จากจีน
• มีรายงานข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีมีการหารือกับคนใกล้ชิดว่าจะทำการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าว Bloomberg ก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯและจีนมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันอยู่ที่ 5 หมื่นล้านเหรียญ แต่สหรัฐฯดูมีแนวทางล่าสุดจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่ม อันประกอบไปด้วย เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญ และนายทรัมป์ ก็พร้อมจะเดินหน้าเก็บอีก 2.67 แสนล้านเหรียญ ประกอบไปด้วยสินค้านำเข้าจีนทั้งหมด
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ถึงแม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มผู้บริโภคจะมีการปรับตัวขึ้นในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า แต่การจะขึ้นภาษีครั้งใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ส่งผลให้หุ้นที่กำลังปรับตัวขึ้นนั้นปรับตัวลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดด้วยท่าทีระมัดระวังอันจะเห็นได้จากหุ้นออสเตรเลีย หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มแตะ 2 แสนล้านเหรียญ โดยดัชนี SPI Futures ของออสเตรเลียเปิดทรงตัว ขณะที่ดัชนี NIKKEI วันนี้ปิดทำการเนื่องในวันผู้สูงอายุ
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ไว้ระหว่างที่ 32.30-32.70 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยจุดสนใจของตลาดไทยจะอยู่ที่การประชุมกนง. ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ความเคลื่อนไหวของสกุลเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และเฟดสาขานิวยอร์กเดือนก.ย. ยอดขายบ้านมือสอง ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการขออนุญาตก่อสร้าง เดือนส.ค. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือนก.ค.