ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของยูโร ส่งผลให้แข็งค่าขึ้นได้ 0.35% ขึ้นมาบริเวณ 94.519 จุด
ด้านค่าเงินเยนค่อนข้างทรงตัวที่บริเวณ 112.685 เยน/ดอลลาร์ หลังจากอ่อนค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ที่ 113.145 เยน/ดอลลาณ์ เมื่อวานนี้
• คาดการณ์เศรษฐกิจของเฟด
เฟดยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ โดยมองว่าจีดีพีสหรัฐฯจะเติบโตได้ 3.1% ในปีนี้ จากคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ 2.8% ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2.5% ในปี 2019 จากคาดการณ์เดิมที่ 2.4% และปี 2020 น่าจะขยายตัวได้ 2.0% ตามคาดการณ์เดิม ขณะที่มุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2021 ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกและคาดว่าจะเติบโตได้ 1.8%
ในส่วนของอัตราว่างงานน่าจะขยับขึ้นเล็กน้อย 3.7% ปีนี้ จากคาดการณ์เดิมที่ 3.6% และปีหน้าถึงจะปรับลงมาที่ 3.5% จนถึงปี 2020 ขณะที่ปี 2021 มองว่าอัตราว่างงานจะอยู่แถว 3.7%
ภาพรวมที่ยังคงมีแรงกดดันเงินเฟ้อจึงทำให้เฟดนั้นจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อยู่ โดยคาดการณ์ล่าสุดชี้ว่าปีนี้เงินเฟ้อจะแตะ 2.1% ก่อนจะปรับลงปีหน้าที่ 2.0% และขยับขึ้นมาอีกครั้งที่ 2.1% ในปี 2020 และปี 2021
ทางด้านเงินเฟ้อที่ไม่รวมด้านอาหารและพลังงานหรือ Core Inflation ยังคงคาดการณ์เดิมที่ 2.0% ในปีนี้ ขณะที่ในช่วง 3 ปีหน้าถูกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.1%
· วิเคราะห์ค่าเงินยูโรทางเทคนิค: ค่าเงินยูโรแข็งค่าทดสอบ $1.1800 หลังการประชุมเฟด
ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ (EUR/USD) ปรับแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับ $1.1800 หลังเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามที่ตลาดคาดไว้
FX Street ประเมินว่า ทิศทางขาลงหลักของค่าเงินยูโร ได้เปลี่ยนเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นโดยสมบูรณ์ และกำลังเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 100 วัน โดยมีแนวรับแรกเป็นเส้นเทรนด์ขาขึ้น (เส้นสีเขียว) ขณะที่ RSI เคลื่อนไหวแถวบริเวณ 50 จุด บ่งชี้ถึงสัญญาณของทิศทางขาขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ เป้าหมายของทิศทางขาขึ้นจะอยู่ที่ระดับ $1.1800 และ $1.1853
กลยุทธ์วันนี้
แนวโน้มหลัก: ขาขึ้น
แนวต้าน: 1.1800, 1.1853, 1.1900
แนวรับ: 1.1750, 1.1723, 1.1654
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธคำเชิญชวนของนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่ขอจัดการประชุมร่วมกันระหว่างการประชุมขององค์การสหประชาชาติ โดยนายทรัมป์ให้เหตุผลว่าเขาไม่พึงพอใจต่อการเจรจา NAFTA กับแคนาดา รวมถึงไม่ประทับใจในตัวแทนการเจรจาของแคนาดา
· นอกจากนี้นายทรัมป์ ยังได้กล่าวอ้างว่า รัฐบาลจีนกำลังจ้องแทรกแซงการเลือกตั้งกลางวาระของรัฐสภาสหรัฐฯ ที่จะขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. นี้ ต่อบรรดาคณะกรรมการแห่งองค์การสหประชาติ แต่ไม่ได้มีการให้หลักฐานแต่อย่างใด
ขณะที่ทางนายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศจีน ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวของนายทรัมป์ โดยระบุว่า จีนไม่มีความต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของสหรัฐฯแต่อย่างใด
· นายทรัมป์ส่งสัญญาณอาจยกเลิกให้สนับสนุนนายเบ็ร์ท คาวานอร์ท (Brett Kavanaugh) ว่าที่คณะกรรมการประจำศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯที่นายทรัมป์เป็นผู้เสนอชื่อด้วยตัวเอง โดยระบุว่าขึ้นอยู่กับการให้ปากคำของบรรดาพยานในข้อหากล่าวหาว่านายคาวานอร์ทได้มีการร่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ร่วมตกลงกันที่จะจัดการเจรจาทางการค้าอย่างเป็นทางการ โดยมีเงื่อนไขว่า สหรัฐฯจะไม่ทำการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น จนกว่าการเจรจาจะเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ได้แสดงความชัดเจนว่าเขาไม่พึงพอใจต่อการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่นเป็นมูลค่ากว่า 6.9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่ง 2 ใน 3 จากยอดขาดดุลดังกล่าวมาจากสินค้าในกลุ่มรถยนต์
· ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 2.55% ดังเดิม สวนทางกับการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจสร้างแรงกดดันให้กับค่าเงินหยวนได้ก็ตาม
ทั้งนี้ ธนาคารกลางแหง่ประเทศจีนได้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้เท่าเดิมมาต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2015 ขณะที่ค่าเงินหยวนค่อนข้างทรงตัว หลังตลาดรับทราบข่าวการประกาศคงอัตราดอกเบี้ย
· ผลกำไรของบรรดาผู้ประกอบการภาคอุตสาหกกรมในประเทศจีน ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนและราคาสินค้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าปริมาณอุปสงค์จากประเทศจีนอาจลดน้อยลง ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ
โดยผลกำไรในเดือน ส.ค. ขยายตัวได้เพียง 9.2% ที่ระดับ 5.1969 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการชะลอตัวติดต่อกัน 4 เดือน ลดลงจากการขยายตัวของผลกำไรในเดือน ก.ค. ที่ระดับ 16.2%
· วิเคราะห์ราคาน้ำมัน WTI ทางเทคนิค: ราคาเผชิญแนวต้านที่ 73.00 หลังการประกาศสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ FX Street ประเมินว่า ทิศทางขาขึ้นของราคาน้ำมัน WTI จำเป็นต้อง Break เหนือระดับ $73.00 ขึ้นไป ถึงจะสามารถไปต่อได้ แต่ดูเหมือนตลาดจะไม่มีแรงหนุนมากพอที่จะทำให้ราคาปรับขึ้นเหนือระดับดังกล่าวไปได้ จึงมีแนวโน้มที่ราคาจะย่อตัวกลับลงมาบริเวณ $70.00 ซึ่งเป็นเส้นเทรนด์แนซโน้มขาขึ้น
ทั้งนี้ การประกาศปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯออกมาที่ระดับ 1.852M เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.279M ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนระยะสั้นๆให้กับน้ำมันได้ แต่ดูเหมือนตลาดไม่ตอบรับกับข่าวดังลก่าวเท่าไหร่นัก
กลยุทธ์วันนี้
แนวโน้มหลัก: ขาขึ้น
แนวต้าน: 72.00, 73.00, 75.00
แนวรับ: 71.41, 70.53, 70.00
• ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นประมาณ 1% ท่ามกลางแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ว่าปริมาณอุปทานน้ำมันในตลาดจะตึงตัวก่อนหน้านโยบายคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันจากอิหร่านของสหรัฐฯจะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ย. นี้
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.1% จากระดับปิดตลาด สู่ระดับ 82.23 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 90 เซนต์ หรือ 1.3% จากระดับปิดตลาด สู่ระดับ 72.47 เหรียญ/บาร์เรล