· ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 180.43 จุดหรือคิดเป็น -0.68% ที่ระดับ 26,447.05 จุด และดัชนี S&P500 ปิด -0.55% ที่ระดับ 2,885.57 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -1.16% ที่ระดับ 7,788.45 จุด
· สัปดาห์ที่แล้วภาพรวมดัชนี S&P500 ปิด -0.98% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิด -0.04% ขณะที่ Nasdaq ปิด -3.2% ซึ่งถือว่าภาพรวมรายสัปดาห์ของ Nasdaq ปิดปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่มี.ค.
· ตลาดหุ้นสหรัฐฯคืนวันศุกร์ปิดปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยได้รับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ โดยพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นแตะ 3.248% ขณะที่รายงานจ้างงานที่ออกมาก็ยังคงไม่ได้ส่งผลหรือสร้างอุปสรรคต่อแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.นี้ ขณะที่ตลาดพันธบัตรตอบรับกับกระแสคาดการณ์ของนักลงทุนที่จะเห็นแนวโน้มเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงเช้านี้ โดย ASX200 ปิด -0.95% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่เปิดลดลง ขณะที่ตลาดหุ้น Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.2%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการเนื่องในวันกีฬาและสุขภาพ
· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ไว้ที่ระหว่าง 32.60-33.00 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการไตรมาส 3/2561 ของบริษัทจดทะเบียน และสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออก เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. (เบื้องต้น) นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสิงคโปร์ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน