บรรดานักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เคยมีความหวังว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสามารถได้รับการเจรจาแก้ไขปัญหาได้ในท้ายที่สุด หรืออย่างเร็วที่สุดคือก่อนที่สหรัฐฯจะเข้าสู่การเลือกตั้งกลางวาระในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้
แต่ทว่าความหวังดังกล่าวเริ่มที่จะสูญสลายไปเรื่อยๆ ท่ามกลางมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มองว่าความขัดแย้งทางการค้าดังกล่าวมีแนวโน้มจะยืดเยื้อออกไป และโอกาสที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถเจรจายุติความขัดแย้งได้นั้นก็ช่างเลือนลางเสียเหลือเกิน
Patrik Schowit นักกลยุทธ์ประจำ J.P. Morgan กล่าวว่า “สถานการณ์ของ Trade war ในปัจจุบัน อยู่ในระดับที่ผู้คนเริ่มคาดการณ์ถึงผลลัพณ์ที่เลวร้ายที่สุด โดยที่หลายๆฝ่ายมองว่า ความขัดแย้งครั้งนี้จะยื้อเยื้อออกไปและอาจคงอยู่อย่างถาวร ซึ่งจะกลายเป็นสงครามเย็นครั้งใหม่”
ขณะที่ Yves Bonzon หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Julius Baer ระบุว่า “ก่อนหน้านี้ ตลาดมีมุมมองที่ค่อนข้างดีต่อ Trade war เพราะพวกเขาเชื่อว่าผลประกอบการที่ย่ำแย่ลงของบริษัทสหรัฐฯที่จดทะเบียนในดัชนี S&P500 จะเป็นปัจจัยที่เพียงพอให้ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯพิจารณาถอยหลังออกจากการกดดันเศรษฐกิจจีน แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
ทางด้าน Haibin Zhu หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำ J.P. Morgan ระบุว่า “ผลลัพณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ Trade war คือการที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการ ซึ่งนั่นจะกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจโลกในปี 2019 ที่สาหัสที่สุด และคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจจีนสูญเสียอัตราการเติบโตลงไปถึง 1% เป็นอย่างน้อย”
Bonzon แห่ง Julius Baer กล่าวเสริมว่า “แนวโน้มที่ความขัดแย้งทางการค้าจะคลี่คลายลงก่อนสหรัฐฯจะเข้าสู่การเลือกตั้งกลางวาระในวันที่ 6 พ.ย. ยิ่งดูเกินความเป็นจริงเข้าไปทุกขณะที่ รวมทั้งผลลัพณ์ที่จะตามมาหลังจากนั้นก็ยังไม่มีความแน่นอน อย่างไรก็ตาม พวกเขามองว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะสามารถครองตำแหน่งประธานาธิบดีต่อได้อีกสมัย และนั่นก็จะทำให้สหรัฐฯคงจุดยืนที่แข็งกร้าวกับจีนต่อไปจนถึงทศวรรษข้างหน้า”