การเลือกตั้งกลางวาระของสหรัฐฯจะเกิดขึ้นในอีกประมาณ 3 สัปดาห์ข้างหน้า โดยทาง Merrill Lynch ได้ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ “อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับนโยบายการเงินและความสัมพันธ์กับต่างประเทศของสหรัฐฯ” ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบในทางลบกับตลาดหุ้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับมองว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น
ซึ่งในปัจุจุบัน พรรครีพับลิกันเป็นฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากได้ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จึงทำให้พวกเขาสามารถผ่านร่างนโยบายที่เป็นผลบวกต่อตลาดได้หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดภาษีหรือการลดระเบียบข้อบังคับต่างๆ แต่นั่นอาจเปลี่ยนแปลงในการเลือกครั้งที่จะถึงนี้
โดยผลสำรวจส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า พรรคเดโมแครตจะสามารถกลับมาครองเสียงข้างมากสภาผู้แทนราษฏร ขณะที่รีพับลิกันจะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา แต่เนื่องจากความเชื่อมั่นในตัวโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เสื่อมถอยลงไปในสายตาชาวสหรัฐฯ จึงทำให้ผลสำรวจเหล่านี้อาจไม่แน่นอนเสมอไป และการที่พรรคเดโมแครตกลับมามีเสียงข้างมาก การผ่านร่างนโยบายหนุนเศรษฐกิจของรีพับลิกันอาจได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นร่างนโยบายปรับลดภาษี หรือนโยบายการออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณ รวมไปถึงงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาต่างๆ
และสิ่งที่สำคัญที่สุดหากเดโมแครตกลับมามีเสียงข้างมาก คือความเป็นไปไปได้ที่นายทรัมป์อาจถูกสืบสวนมากขึ้นหรืออาจถึงขั้นถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่งผลให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจขยายตัวรุนแรงยิ่งขึ้น
ตลาดต้องการให้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภา แต่โอกาสที่จะเกิดกรณี Split Congress มีสูงยิ่งกว่า
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเลือกตั้งกลางวาระของสหรัฐฯที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. จะช่วยตลาดบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งดังกล่าว และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้
โดยตลาดหุ้นส่วนใหญ่คาดการณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า รีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่เดโมแครตจะครอบครองสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผลกระทบที่จะเกิดกับตลาดหุ้นก็จะเป็น Neutral หรือไม่มีผลกระทบ
Micahel Zezas นักกลยุทธ์จาก Morgan Stanley ประเมินว่า มีความเป็นไปได้มากยิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน ซึ่งในกรณีนี้ ตลาดพันธบัตรจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ เนื่องจากมีโอกาสน้อยลงที่นโยบายปรับลดภาษีจะผ่านการลงมติได้ ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อค่าเงินดอลลาร์แทน ในขณะที่ตลาดหุ้นจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Predict.it บ่งชี้ว่า ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ถึงโอกาสที่จะเกิดกรณีทั้ง 2 พรรคครอบครองเสียงข้างมากในแต่ละสภา (Split Congress) ลดน้อยลงไป ส่วนโอกาสที่เดโมแครตจะครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา (Democratic sweep) ก็ลดน้อยลงเช่นเดียวกัน ขณะที่โอกาสสำหรับรีพับลิกันจะครอบครองทั้ง 2 สภา (Republican sweep) กลับเพิ่มสูงขึ้น แต่ในภาพรวม ตลาดยังคงมองโอกาสที่จะเกิดกรณี Split Congress อยู่ที่ 58% และโอกาสจะเกิดกรณี Republican sweepอยู่ที่ 36%
Julian Emanuel หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าอนพันธ์จาก BTIG ระบุว่า “นักลงทุนส่วนใหญ่มองความเป็นไปได้ที่จะเกิดกรณีเดโมแครตครองสภาผู้แทนราษฏร ส่วนรีพับลิกันครองวุฒิสภา ดังนั้นสิ่งที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดได้มากที่สุด ก็คือกรณีที่รีพับลิกันสามารถครอบครองสภาผู้แทนราษฏรได้”
“ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นฝ่ายชนะ แต่จะปรับตัวขึ้นได้มากกว่านั้นอีก หากรีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา” Emanuel กล่าว
Zezas กล่าวเสริมว่า “ในกรณีของ Republican sweep จะไม่ส่งกระทบต่อตลาดหุ้น แต่จะเป็นผลบวกต่อบริษัทในกลุ่มยาทางการแพทย์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม และผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพ”