• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2561

    18 ตุลาคม 2561 | Economic News

• ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์หลังจากที่รายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. มีสัญญาณยืนยันว่าเฟดมีแนวโน้มจะทำการเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ ขณะที่ในรายงานยังบ่งชี้ถึงสมาชิกเฟดส่วนใหญ่ที่สนับสนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนที่ผ่านมา และยังมีความเห็นตรงกันที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ

ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.49% ที่ระดับ 95.510 จุด หลังจากไปทำ High นับตั้งแต่ 10 ต.ค. ที่ 95.562 จุด

เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group กล่าวว่า โอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. มีมากถึง 78% ขณะที่ปีหน้ามองโอกาสเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่า หลังจากที่หัวหน้าผู้แทนเจรจา Brexit ของอียู กล่าวว่า อาจต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อให้ข้อตกลงของอังกฤษในการออกจากอียูเป็นไปอย่างปลอดภัย ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ของอังกฤษออกมาน้อยกว่าที่คาดที่ระดับ 2.4% จากที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 2.6%

ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.64% ที่ระดับ 1.1499 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมา 0.52% ที่ระดับ 1.3115 ดอลลาร์/ปอนด์

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนกล่าวเตือนถึงการเข้าซื้อค่าเงินดอลลาร์ที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีสภาวะที่แข็งค่า โดยระบุว่า เงื่อนไขของตลาดการเงินดูจะประสบภาวะตึงตัวทั่วโลก

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า สมาชิกเฟดยังมีมุมมองว่าเฟดจำเป็นต้องดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมีมุมมองเชิงลบต่อแนวทางดังกล่าวก็ตาม โดยสมาชิกเฟดดูจะมีแนวทางการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไปท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับขึ้น

โดยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยสร้างสมดุลความเสี่ยงต่อแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินมากกว่าที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพราะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวต่ำกว่าเป้าหมายที่สมาชิกเฟดมองไว้ได้ เมื่อเทียบกับการขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆที่ดูจะช่วยสนับสนุนให้เงินเฟ้อค่อยปรับขึ้นเหนือเป้าที่วางไว้ และก็มีความเป็นไปได้ที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางการเงิน

อย่างไรก็ดี ในรายงานประชุมเฟดไม่ได้กล่าวอ้างถึงคำวิจารณ์ของนายทรัมป์ แต่ยังส่งสัญญาณย้ำถึงแนวทางที่จะดำเนินนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป

• ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผชิญกับปัญหายอดขาดดุลแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี และมีการกล่าวกับคณะรัฐมนตรีของเขาเกี่ยวกับข้อเสนอในการปรับลดค่าใช้จ่ายหน่วยงานของพวกเขาลง 5% แต่อาจยังมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนของหน่วยงานทางทหาร

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯจะยังไม่ทอดทิ้งซาอุดิอาระเบียที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯจากกรณีการฆาตกรรมนายคาช็อคกี้ จนกว่าจะได้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนตามที่รัฐบาลตุรกีอ้างว่านายคาช็อคกีถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ของทางการซาอุฯ

โดยนายทรัมป์กำลังรอรายงานจากนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียและตุรกีเพื่อเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีนายคาช็อคกี

ขณะที่ทางด้านนายปอมเปโอ หลังจากที่ได้เข้าพบกับผู้นำซาอุฯและทางการซาอุฯได้ยืนยันว่าจะเร่งสืบสวนในคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ นายปอมเปโอได้ระบุว่าทางการซาอุฯขอเวลาในการสืบสวนให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่กี่วันนี้ และนายปอมเปโอก็ได้เดินทางไปพบกับผู้นำตุรกีเป็นอันดับต่อไป

• นายโรเบอร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการ WTO กล่าวว่า “ความขัดแย้งทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน หากแต่ละฝ่ายที่มีความขัดแย้งไม่ยินยอมที่จะลดความตึงเครียดและดำเนินการเจรจาทางการค้าใหม่อีกครั้ง ความขัดแย้งดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายต่อระบบการค้าทั่วโลกได้อย่างรุนแรงและเป็นผลที่คงอยู่ในระยะยาว” นายโรเบอร์โตกล่าวในที่ประชุม ณ เมืองลอนดอน ของสหราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงสหรัฐฯและจีนที่กำลังมีความขัดแย้งทางการค้ากัน

• รัฐบาลเม็กซิโก แสดงความคาดหวังว่า จะสามารถยุติข้อพิพาทกับทางสหรัฐฯและแคนาดาในเรื่องของภาษีเหล็กได้ก่อนที่ทีมบริหารของเม็กซิโกจะกลับเข้าประจำการอีกครั้งในช่วงเริ่มต้นเดือนธ.ค.

ขณะที่ข้อพิพาทเรื่องภาษีเหล็กยังคงมีอยู่ แม้ว่าทั้งสามประเทศจะสามารถเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันได้เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งจะมีการลงนามในข้อตกลงฉบับใหม่ในวันที่ 30 พ.ย.

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้นำอียูในการประชุมที่กรุงบรัสเซลล์ โดยระบุว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลง Brexit เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความล่าช้าจากการที่แผนที่นำเข้าสู่กระบวนการเจรจาที่ยังล้มเหลว

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้บรรดาผู้นำอียูช่วยสนับสนุนข้อตกลง Brexit เนื่องจากยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ก่อนที่จะเริ่มเจรจากันใหม่

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯมีแนวคิดที่จะเพิ่มมาตรการกดดันการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา แต่เนื่องจากทีมบริหารมองเห็นว่าปริมาณขนส่งน้ำมันของเวเนซุเอลายังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการกดดันการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาอย่างเร่งด่วนแต่อย่างใด

• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลง ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบเดือน หลังจากที่สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วงลง 2.17 เหรียญ คิดเป็น -3% ที่ระดับ 69.75 เหรียญ/บาร์เรล

น้ำมันดิบ Brent เมื่อวานนี้ร่วงลงต่ำกว่า 80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ก็สามารถปิดที่บริเวณ 80.05 เหรียญ/บาร์เรล หรือปิดลดลง 1.36 เหรียญ คิดเป็น -1.7% ที่ระดับ 80.05 เหรียญ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com