MTS Help Center

โดยดัชนี Shanghai Composite ของตลาดหุ้นจีนปรับร่วงลงมาถึง 2.9% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และได้สร้างแรงสั่นสะเทือนออกไปสู่ตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ในภาพรวมรายเดือน ต.ค. ตลาดหุ้นจีนได้ปรับลดลงไปแล้วถึง 12% และในภาพรวมระยะเวลา 12 เดือน หุ้นจีนได้ปรับลดลงไปถึง 26%

แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบในภาพรวม โดยดัชนี S&P ปรับสูงขึ้นมาได้ 4.5% ในปีนี้ ในขณะที่หุ้นจีนกลับปรับร่วงลงมา 25%

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือวิจัย Kensho ของ CNBC บ่งชี้ว่า หุ้นสหรัฐฯมักจะมีผลประกอบการที่อ่อนแอลง เมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงอย่างหนัก เช่นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมา 10% ในระยะเวลา 30 วัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถขยายตัวได้เพียง 30% และในภาพรวมของหุ้นสหรัฐฯจะเห็นได้ถึงการชะลอตัวของผลประกอบการอย่างมีนัยยะสำคัญ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นจีนปรับลดลง 10% ดัชนี S&P 500 จะปรับลดลง 4.8% โดยเฉลี่ย ขณะที่ดัชนี Nasdaq จะยิ่งได้ถูกกดดันลงมาหนักกว่า โดยปรับลดลงไป 5.3%

เมื่อมาดูเฉพาะในหุ้นแต่ละตัว หุ้นของ Goldman Sachs ได้ปรับร่วงลงมาถึง 10.6% ภายในระยะเวลา 30 วัน และเคลื่อนไหวในแดนบวกได้เพียง 18% ของระยะเวลาดังกล่าว ขณะที่หุ้น Caterpillar ที่มีผลประกอบการเกี่ยวโยงกับจีนโดยตรง ได้ปรับลดลงมา 7.9% และเคลื่อนไหวในแดนบวกได้เพียง 20% ของระยะเวลา ส่วนหุ้น DuPont ได้ปรับลดลง 9.3% และเคลื่อนไหวในแดนบวกได้เพียง 17% ของระยะเวลา

เมื่อหุ้น Caterpillar ปรับร่วงลงมา จึงกดดันให้ภาพรวมของดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลงมากว่า 3%

สำหรับในภาพรวมเฉพาะกลุ่ม จะเห็นได้ว่าบรรดาบริษัทที่ประกอบการเกี่ยวกับสินค้าโภคภันฑ์และวัตถุดิบจะปรับร่วงลงมาถึง 84% ในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนปรับลดลงหนักๆ โดยหุ้น SPDR Materials Select Sector Fund หรือภาควัตถุดิบของกองทุน SPDRปรับร่วงลงมา 7.8% ขณะที่หุ้น XLF หรือ Financial Select Sector SPDR Fund ที่เป็นหรือภาคการเงินของกองทุน SPDR ได้ปรับลดลง 6.4% โดยเคลื่อนไหวในแดนบวกเพียง 31% ของระยะเวลาดังกล่าว ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้น Energy Select Sector SPDR Fund ได้ปรับลดลง 7% โดยเคลื่อนไหวในแดนลบ 20% ของระยะเวลา

เมื่อตลาดหุ้นจีนปรับร่วงลงมา กลุ่มสินค้าโภคภันฑ์พื้นฐาน เช่น ทองแดง หรือ copper จะปรับลดลงมา 8.3% ส่วนน้ำมันปรับลดลง 8.5% ภายในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งน้ำมันจะเคลื่อนไหวในแดนลบเกือบ 70% ของระยะเวลาที่หุ้นจีนปรับตัวลดลง ส่วนทองแดงจะจะเคลื่อนไหวในแดนลบ 78% ของระยะเวลา อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินทรัพย์ Safe-haven เช่น ทองคำ กลับปรับตัวสูงขึ้นได้ 0.6% ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับสูงขึ้นได้ 1.5% โดยที่สินค้าทั้ง 2 ตัวต่างเคลื่อนไหวในบวกกว่าครึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่หุ้นจีนปรับลดลง

 

ที่มา: CNBC