· ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 123.95 จุด คิดเป็น +0.49% ที่ระดับ 25,413.22 เหรียญ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น +0.22% ที่ 2,736.14 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +0.15% ที่ระดับ 7,247.87 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแนวโน้มที่ดีของข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่ถ้อยแถลงของรองประธานเฟดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นเมื่อวานนี้
นักลงทุนให้ความสนใจในการประชุม G20 เดือนนี้ ซึ่งการประชุมวาระนี้จะมีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่การประชุมเฟดเดือนธ.ค.ก็เป็นอีกปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญ
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับลงในวันศุกร์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตาภาวะปั่นป่วนทางการเมืองในอังกฤษอย่างใกล้ชิด โดยดัชนี Stoxx600 ปิด -0.12% ขณะที่หุ้นกลุ่ม Blue chips ปรับลงไป 2.68% ขณะที่หุ้นกลุ่มภาคธนาคารยุโรปปิดร่วงลงประมาณ -0.74% ในคืนวันศุกร์ นำโดยหุ้นธนาคารของอังกฤษจากภาวะตึงเครียดทางการเมืองในประเทศที่อาจส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากอียูหากเกิดการออกจากอียูอย่างปราศจากข้อตกลงใดๆ
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานในเช้านี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีท่าทีระมัดระวังต่อภาวะการเมืองในอังกฤษและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.52% ขณะที่ดัชนี Topix เปิด +0.39% อันได้รับอานิสงส์จากข้อมูลยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น 8.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี
สำหรับดัชนี Kospi เกาหลีใต้เปิด +0.32% แต่ดัชนี ASX200 เปิด -0.31% ท่ามกลางหุ้นพลังงานและการเงินที่ปรับตัวลง
· ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 32.80-33.20 บาท/ดอลลาร์ โดยจุดสนใจของตลาดในประเทศน่าจะอยู่ที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/61 ของไทย ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด และประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับการเจรจาเรื่อง BREXIT ของอังกฤษกับอียู