• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 354.29 จุด ที่ระดับ 24,640.24 จุด ซึ่งถือเป็นระดับการเพิ่มขึ้นมากที่สุดของดาวโจนส์นับตั้งแต่ 7 พ.ย. ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดปรับขึ้น 1.55% ที่ระดับ 2,673.45 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้นกว่า 2% ปิดที่ระดับ 7,081.85 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นได้วานนี้มากจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่รีบาวน์กลับมาได้ หลังจากที่ปรับตัวลงไปอย่างมากในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่หุ้น General Motors ก็ปรับขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ หุ้นบริษัท Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google-parent Alpahbet ต่างทะยานขึ้นได้กว่า 1% หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วร่วงไป 3.6% และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนในทิศทางขาลง
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวขึ้นได้หลังจากที่สัปดาห์แห่ง Thanksgiving ที่ผ่านมาอ่อนตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 ท่ามกลางแรงเทขายที่เกิดขึ้นในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และการร่วงลงของราคาน้ำมันที่ทำให้ตลาดเข้าสู่สภาวะ Risk-Off โดยในคืนวันศุกร์คืนเดียว ราคาน้ำมันดิบร่วงลงไปกว่า 8%
• นักลงทุนมองหาสัญญาณจากถ้อยแถลงของ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดในสัปดาห์นี้ โดยประธานเฟดมีกำหนดการกล่าวถ้อยแถลงที่ New York Economic Club คืนวันพุธ หลังจากที่เมื่อไม่นานมานี้ถ้อยแถลงของเขาได้สร้างแรงเทขายเข้ามาในตลาดการเงิน จากกลุ่มนักลงทุนที่วิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตการดำเนินนโยบายทางการเงิน ขณะที่เฟดถูกคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ หลังจากที่ขึ้นไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง และปีหน้ามีโอกาสอีก 3 ครั้งที่จะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ย
• สำหรับประเด็นทางการเมือง นักลงทุนให้ความสนใจไปยังการประชุม G20 ในประเทศอาร์เจนตินา และเรื่อง Brexit โดยในการประชุม G20 นั้นจะมีการพบกันของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่มีความขัดแย้งทางการค้าของสองประเทศ ขณะเดียวกันอังกฤษดูจะได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากทางอียูในการทำข้อตกลงถอนตัวจากสมาชิกยุโรป
• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวานนี้ปิดแดนบวก ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับความคืบหน้ากรณี Brexit โดยดัชนี STOXX 600 ปิด +1.27% ท่ามกลางหุ้นหลักส่วนใหญ่ที่ปิดบวกเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นธนาคาร, กลุ่มยนตรกรรม และประกัน
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับขึ้นเช้านี้ หลังจากที่หุ้นสหรัฐฯรีบาวน์กลับได้เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอผลการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯและจีน
ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.35% ขณะที่ Topix เปิด +0.5% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.27%
• นักบริหารเงินคาด เงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 32.95-33.05 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟ) รายงานการประชุมเฟด รวมถึงการประชุมผู้นำกลุ่ม G20 ซึ่งจุดสนใจหลักจะอยู่ทีข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะมีสัญญาณคลี่คลายลงได้บ้างหรือไม่ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งปรับตัวลดลงมาแรงจะเป็นปัจจัยที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนเช่นกัน