• ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดคืนวันศุกร์ในแดนบวก หลังจากที่เคลื่อนไหวอ่อนแอตลอดทั้งเดือน ท่ามกลางความหวังว่าสหรัฐฯ-จีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด +0.8% ที่ระดับ 25,538.46 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างปิด +0.8% ที่ระดับ 2,760.17 จุด และ 7,330.54 จุด ตามลำดับ ซึ่งในคืนวันศุกร์ดัชนีต่างเคลื่อนไหวค่อนข้างอ่อนแอ ก่อนที่จะมีรายงานข่าวจาก Reuters ที่ว่าทั้งสหรัฐฯและจีนต่างมีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้มากขึ้น จึงทำให้ดัชนีปรับสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งและปิดตลาดในแดนบวก
• นักวิเคราะห์จาก Baird ประเมินว่า หุ้นสหรัฐฯเดือน ธ.ค. อาจมีแนวโน้มผันผวนมากกว่าเดิมได้ เนื่องจากตลาดหุ้นยังไม่มีการทำจุดต่ำสุดที่ชัดเจนในช่วงเดือนที่ผ่านมา และเกือบทุกครั้งที่หุ้นปรับร่วงลงไปมากๆ ก็จะเกิดแรงเข้าซื้อตามมา ทำให้รีบาวน์ขึ้นมาได้ตลอด แต่ทั้งนี้ เดือน ธ.ค. มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบปีนั้นๆมาโดยตลอด
• ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯและนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ต่างมีมติที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการเจรจาหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกันอีกครั้ง
โดยเช้านี้ ดัชนี Nikkei ปรับเพิ่มขึ้น 1.18% ขณะที่ดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 1.27% ด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ที่ระดับ 1.34%
• นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 32.70-33.10 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดอาจปรับตัวรับผลการหารือในประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และข้อมูลตลาดแรงงานอื่นๆ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนพ.ย. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. และรายงาน Beige Book ของเฟด
ขณะที่ ปัจจัยที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ถ้อยแถลงของประธานเฟดและเจ้าหน้าที่เฟด ดัชนี PMI เดือนพ.ย. ของประเทศชั้นนำอื่นๆ และข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของไทย