• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 287.97 จุด ที่ระดับ 25,826.43 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +1.1% ที่ระดับ 2,790.37 จุด ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิด +1.5% ที่ระดับ 7,441.51 จุด โดยหุ้นกลุ่มผู้บริโภคใน S&P500 ถือเป็น Best Performance ที่ปรับขึ้นได้กว่า 2.5% อันได้รับอานิสงส์จากหุ้น Amazon และ Apple ที่ปรับขึ้น 4.9% และ 3.5% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับขึ้นหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯและจีนต่างเห็นพ้องกันในการชะลอ Trade War ออกไปเป็นเวลา 90 วัน และได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนยังคงตั้งคำถามว่าทำไมตลาดหุ้นถึงฟื้นตัวจากข่าวดังกล่าว เนื่องจากประเด็นดังกล่าวนั้นถือว่ายังไม่ถูกแก้ปัญหาได้ในระยะยาว แต่สิ่งหนึ่งที่ตลาดอาจรู้สึกดีคือการที่ทั้งสองฝ่ายน่าจะสามารถหาทางจัดการได้
• หุ้นยุโรปปิดแดนบวกเมื่อวานนี้ ขานรับกับรายงานที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีการเจรจาและสงบศึกข้อขัดแย้งทางการค้าเป็นการชั่วคราวได้ และทำให้ดัชนี Stoxx600 ปิดปรับขึ้นได้กว่า 1.6% ขณะที่หุ้น DAX ของเยอรมนีปรับขึ้นได้กว่า 2.5% ในช่วงเช้าวานนี้
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดอ่อนตัวลงในเช้าวันนี้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในอนาคต โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -0.14% หลังดัชนี Topix เปิด -0.25% หลังจากที่รอยเตอร์สรายงานว่า บริษัทฯนิสสันจะมีการหารือถึงผู้มาดำรงตำแหน่งแทน นายคาร์ลอส และนั่นทำให้หุ้นนิสสันร่วงลงไป 0.25%
ขณะที่ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.21%
ทั้งนี้ ถึงนายทรัมป์ และนายสี สองผู้นำสหรัฐฯและจีนจะสามารถสงบศึกทางการค้าเป็นระยะเวลา 90 วันได้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงมีข้อแตกต่างทางการค้า ขณะที่เกิดคำถามขึ้นตามมาว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของสหรัฐฯในการเจรจากับจีนในอนาคต และจีนกับสหรัฐฯจะสามารถหาทางแก้ไขข้อแตกต่างระหว่างกันได้ใน 90 วันจริงหรือ? ซึ่งดูเหมือนมีความจำเป็นที่จะต้องมีรายละเอียดหรือสัญญาณความคืบหน้าใดๆเพิ่มเติมมากกว่านี้เพื่อให้ข้อตกลงทางการค้ามีแนวโน้มจะเป็ฯไปอย่างยั่งยืน
• นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70 - 32.90 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก หลังจากที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนชั่วคราว ที่ล่าสุดการหารือระหว่าง 2 ผู้นำพบว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนออกไปอีก 90 วันจากกำหนดเดิมในวันที่ 1 ม.ค.62 ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะนำเงินไปลงทุนในส่วนอื่นมากขึ้น
• ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่จะได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะระงับการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามจะลดความขัดแย้งด้วยการเจรจาครั้งใหม่และตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงกันให้ได้ภายใน 90 วัน
• สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน พ.ย.61 เพิ่มขึ้น 0.94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 1.13% โดยคาดว่าทั้งปีเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 1.12% และเป็นไปตามกรอบเป้าหมายของ ธปท.ที่ 1-4% ขณะที่คาดว่าปี 62 กรอบเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.7-1.7%
• ธปท. เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนพ.ย.61 อยู่ที่ระดับ 53.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการทั้งในภาคการผลิตและภาคที่มิใช่การผลิต โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการและการผลิต นำโดยกลุ่มผลิตยานยนต์ และกลุ่มผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ปรับดีขึ้น ประกอบกับมีการเร่งผลิตก่อนช่วงวันหยุดยาวในเดือนธันวาคม