• ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนท่ามกลางนักลงทุนที่ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลง โดยค่าเงินเยนแข็งค่าลงมา 0.45% แถวระดับ 112.68 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ผันผวน และดอลลาร์อ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้ จากภาวการณ์เคลื่อนไหวของเส้นผลตอบแทนพันธบัตรที่สร้างความกังวลให้แก่ตลาดในเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ตลาดยังสั่นคลอนจาประเด็นที่เจ้าหน้าที่แคนาดาจับกุมผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าเรื่องดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนให้ทวีความรุนแรงขึ้น ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีการให้การสนับสนุนการเจรจาทางการค้าเมื่อไม่นานมานี้
นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก IG Securities กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการประชุมเฟดในเดือนนี้ด้วย ท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่อาจไม่สามารถรีบาวน์กลับขึ้นไปได้อีกครั้งจนกว่าตลาดจะตอบรับว่าเฟดมีท่าทีต่อการดำเนินนโยบายและเศรษฐกิจอย่างไร และคาดว่าดอลลาร์ก็จะยังไม่มีสัญญาณชัดเจนใดๆจนกว่าจะทราบผลประชุมเฟด
ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1346 ดอลลาร์/ยูโรหลังจากที่วันอังคารไปทำ High บริเวณ 1.1419 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2723 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากไปทำระดับต่ำสุดรอบ 17 เดือนเมือวันอังคารที่ 1.2659 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่รัฐสภาอังกฤษไม่สนับสนุนแผนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า การขยายตัวของภาคการส่งออกจีนยังคงอยู่ในเกณฑ์การขยายตัวได้ แม้ว่าข้อมูลในเดือนพ.ย. จะชะลอตัวลงมาจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 10% จากเดิม 15% ในเดือนต.ค. เนื่องจากการปรับตัวลดลงของปริมาณความต้องการทั่วโลกและประเด็นความขัดแย้งทางเศรษฐกิจจากการค้าหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ขณะที่ยอดการนำเข้าเดือนพ.ย. จะชะลอตัวลงมาจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 14.5% จากเดิมที่ปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 21.4% ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
• Bank of America Merill Lynch คาดการณ์ว่า ผลประกอบการของสหรัฐฯมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในปี 2019 แม้ว่าในระะยะสั้นจะมีแนวโน้มเป็นบวกก็ตาม
ทางด้านดัชนี S&P 500 ถูกคาดว่าจะสามารถยืนเหนือ 3,000 จุดได้ ก่อนที่จะปรับลงมาสู่ระดับเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 2,900 จุด ขณะที่ผลประกอบการต่อหุ้น (EPS) จะขยายตัวได้ 5% ซึ่งอาจทำให้เราเห็น EPS ของ S&P 500 ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ที่ 170 เหรียญในปีหน้า
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯดูจะถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มสุขภาพ, กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มสาธารณูปโภค, การเงิน และภาคอุตสาหกรรม ที่จะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มผู้อุปโภคบริโภค, ภาคบริการ และอสังหาริมทรัพย์
• สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดา ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลแคนาดา กรณีการจับกุมตัวประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัท Huaweiซึ่งระบุว่า ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ อีกทั้งการจับกุมในครั้งนี้ไม่มีการระบุสาเหตุที่ชัดเจน พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าวโดยเร็ว
• วันนี้เจ้าหน้าที่ทางการทูตของจีน เผยว่า การประชุมระหว่างนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประเทศอาร์เจนตินาร์ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างฉันท์มิตรและทั้งสองฝ่ายจะให้การชช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะตึงเครียดทางการค้า แต่ทั้งนี้ ก็ยังไม่มีข้อเสนอใหม่หรือรายละเอียดใหม่ใดๆในการหารือที่เกิดขึ้น
• รัฐมนตรีกระทรวงการพาณิชย์จีน กล่าวว่า เป้าหมายการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเพื่อทำการยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะสัมฤทธิ์ผลตามที่ผู้นำสหรัฐฯและจีนได้หารือกันไปด้วยความสำเร็จในการประชุม G20 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จีนจะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯในเรื่องสินค้าเกษตรกรรม, พลังงาน และรถยนต์ ซึ่งน่าจะสามารถบรรลุให้เกิดผลได้
• นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับแนวต้าน 53.33 เหรียญ/บาร์เรล และมีโอกาสจะเห็นราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาได้ต่อ ซึ่งหากBreak ต่ำสุดเดิมเมื่อ 9 ต.ค. ปีที่แล้วบริเวณ 49.16 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็มีโอกาสจะกลับลงมาหาจุดต่ำสุดเดิมเมื่อ 31 ส.ค. ปีที่แล้วที่ 45.62 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกันถ้าราคาน้ำมันดิบมีแรงฝ่า 53.33 เหรียญ/บาร์เรลไปได้ ก็จะมีเป้าหมายถัดไปที่ 55.24 เหรียญ/บาร์เรล
• รายงานจาก CNBC ระบุว่า กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรมีแนวโน้มจะเห็นพ้องกันสำหรับเงื่อนไขการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมวันนี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากถ้อยแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ตาม
• เหล่านักลงทุนรอคอยการประชุมโอเปก (OPEC) ที่จะมีขึ้นในวันนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
บรรดาสมาชิกของโอเปก ทั้ง 15 รายจะมาพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆเกี่ยวกับตลาดพลังงาน อย่างไรก็ดี วาระการประชุมหลักในครั้งนี้คือการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการส่งออกน้ำมันของโอเปก ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดกำลังการผลิตที่มีอยู่อาจขยายไปจนถึงปี 2019 เพื่อช่วยพยุงการปรับตัวลงของราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น ขณะที่มีรายงานว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียได้ตกลงที่จะลดการผลิตน้ำมันของตนเองต่อไป
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง ท่ามกลางการร่วงลงของตลาดหุ้น ขณะที่เหล่าเทรดเดอร์ที่กำลังจับตาไปยังกลุ่มโอเปกและรัสเซียที่จะมีขึ้น ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียในวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำการปรับลดกำลังการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปริมาณน้ำมันดิบลง 30 % นับตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา
โดยตลาดคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับลดกำลังการผลิตลง 1.0 – 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.3% ที่ระดับ 61.35 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 0.5% ที่ระดับ 53.17 เหรียญ/บาร์เรล