• ตลาดหุ้นยุโรปปิดแดนลบท่ามกลางความกังวลต่อทิศทางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ, การร่วงลงของราคาน้ำมัน และความกังวลต่อความตึงเครียดครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่ตลาดส่วนใหญ่ให้ความสนใจต่อการจับกุมผู้บริหารฝ่ายการเงินของบริษัท Huawei ตามข้อกล่าวหาว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯมีต่ออิหร่าน และทำให้นักลงทุนหวั่นวิตกว่ากรณีดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ดัชนี STOXX 600 ปิด -3.3% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลง และถือเป็นอัตราการร่วงลงระดับวันมากที่สุดนับตั้งแต่เกิด Brexit ทางด้าน DAX ของเยอรมนีปิด -3.48% ปิดแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ที่ทำ High ในช่วงปลายเดือนม.ค.
นอกจากนี้ จะเห็นได้ถึงหุ้นกลุ่มทรัพยากรของยุโรปที่มีความเกี่ยวข้องกับทางจีนปิดร่วงลงกว่า 4.2% ขณะที่หุ้น FTSE100 ของอังกฤษปิด -3.6%
• ดัชนีดาวโจนส์ปิด -79.4 จุด ที่ 24,947.67 จุด หลังจากที่วันอังคารปิดร่วงลงไปเกือบ 800 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิด -0.15% ที่ระดับ 2,695.95 จุด และดัชนี Nasdaqปิด +0.4% ที่ 7,188.26 จุด ท่ามกลางหุ้นบริษัท Amazon, Netflix และ Alphabet ที่ปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% วานนี้
ในช่วงต้นตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวลงจากความกังวลต่อเนื่องในเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงความเป็นไปได้ต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ควบคู่กับข่าวที่เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือขึ้นได้น้อยกว่าที่คาดการณ์
รายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่า เฟดกำลังตัดสินใจที่จะส่งสัญญาณ Wait-and-See เกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้ ซึ่งในรายงานเผยว่า เจ้าหน้าที่เฟดก็ยังคงไม่ทราบว่าจะทำการขึ้นดอกเบี้ยได้อีกกี่ครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในเดือนธ.ค.นี้
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับขึ้นในเช้านี้ หลังมีรายงานว่าเฟดอาจจะชะลอขึ้นดอกเบี้ยหรือขึ้นได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยดัชนีนิเกอิเปิด +0.82% ขณะที่ดัชนี Topix เปิด +0.66% ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.69% และดัชนี ASX200 ปิด +0.76%
• นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 32.75-32.90 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เนื่องจากมีเงินทุนต่างประเทศไหลออกจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน