


• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่อ่อนตัวลงจากเหล่าเทรดเดอร์ที่ลดคาดการณ์จำนวนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จากสัญญาณเศรษฐกิจที่อ่อนตัวและภาวะความผันผวนของตลาด โดยผลตอบแทนอายุ 10 ปี ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 3 เดือนบริเวณ 2.845% ก่อนจะปิดที่ระดับ 2.851%
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.28% ที่ระดับ 1.1375 ดอลลาร์/ยูโร
ทั้งนี้ ดอลลาร์ถูกกดดันตลอดช่วงสัปดาห์นี้ หลังจากที่เกิดภาวะเคลื่อนไหวสลับทิศกันระหว่างผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาวที่เข้าสู่ Red Flag สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐนจะเกิดสภาวะหดตัว
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 96.810 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดทำ High 97.205 จุด
• สมาชิกเฟดถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมระหว่าง 18-19 ธ.ค.นี้ แต่ตลาดให้ความสนใจกับจำนวนการขึ้นดอกเบี้ยของปี 2019 มากกว่า
• เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ระบุว่า เทรดเดอร์มองว่าปี 2019 เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 1 ครั้งในปีหน้า จากคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนที่มองว่ามีโอกาส 2 ครั้งสำหรับปีหน้า
.png)
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปรับตัวลงแตะ 2.83% เมื่อวานนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงจากความกังวลต่อข้อขัดแย้งทางการค้าที่ยังดำเนินไปและความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัว ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 30 ปีร่วงลงมาแถว 3.136% และอัตราผลตอบแทนระยะสั้นอายุ 2% ร่วงลงมาที่ 2.752%
• รายงานล่าสุดเช้านี้ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวิตเตอร์ข้อความแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ภายใน 90 วันข้างหน้าเนื่องจากทีมงานของทั้งสองฝ่ายมีการสื่อสารที่ราบรื่นและมีความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีภาพรวมที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและอัตราว่างงานอยู่ระดับต่ำในรอบ 50 ปี จึงช่วยลดความกังวลของตลาดที่กังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
• นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า การขึ้นภาษีนำเข้าทางการค้ามีผลเล็กน้อยต่อเศรษฐกิจ แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการลงทุนในภาคธุรกิจบางส่วนได้ และจะส่งผลลบต่อการจ้างงานสหรัฐฯและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
• นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องให้แตะระดับปกติ แม้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะยังมีความไม่แน่นอน แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นยังอยู่ในสภาวะแข็งแกร่ง โดยเขายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนใดๆว่าจะเกิดภาวะ Overheating แต่ก็ต้องระมัดระวังต่อการที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับปกติ
• ผลสำรวจจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ภาคบริษัทในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะทรงตัวหรืออ่อนตัวลงในปีหน้า ท่ามกลางภาวะกดดันจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกและความกังวลต่อผลกระทบทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งแผนการเรียกเก็บภาษีการขายภายในประเทศ
• นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ แสดงความคาดหวังว่า อังกฤษและอียูจะหาแนวทางการดำเนินงานร่วมกันได้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะวิกฤตต่อภาคบริการทางการเงินกรณีเกิด No-Deal สำหรับ Brexit แต่ผลกระทบที่จะเกิดจะอยู่ในกงศุลกากร, การขนส่ง, การค้า และการบริการ เป็นอย่างมากหากอังกฤษออกจากอียูในเดือนมี.ค. ปีหน้าโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ
• รอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐสภาอังกฤษจะโหวตข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในวันที่ 11 ธ.ค. ซึ่งหากมีการปฏิเสธต่อข้อเสนอก็อาจเห็นนางเมย์เร่งหาแนวทางเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาวะตกต่ำของรัฐบาล
• รายงานการประชุมกลุ่ม OPEC พบว่ามีการบรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกันแต่ประเทศสมาชิกก็สิ้นสุดการประชุมเมื่อวานนี้โดยปราศจากรายละเอียดเฉพาะเจาะจงต่อจำนวนบาร์เรลที่จะปรับลดออกจากตลาด
ขณะที่รายงานจาก CNBC ระบุว่า OPEC เลื่อนการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวออกไปจนกว่าจะได้หารือกับรัสเซียในวันนี้ ซึ่งได้ปฏิเสธที่จะยอมรับโควตาเป็นการเจาะจง
• น้ำมันดิบปิดร่วงลงประมาณ 3% หลังมีรายงานว่ากลุ่ม OPEC บรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตแต่ปราศจากการตัดสินใจต่อจำนวนที่จะปรับลด โดยน้ำมันดิบ Brentปิดลง 1.77 เหรียญ คิดเป็น -2.9% ที่ระดับ 59.79 เหรียญ/บาร์เรล โดยระหว่างวันทำ Low ที่ 58.36 เหรียญ/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลง 1.4 เหรียญ คิดเป็น -2.7% ที่ระดับ 51.49 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ระหว่างวันทำ Low ที่ 50.08 เหรียญ/บาร์เรล
