• ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับคัวลงอย่างต่อเนื่องในคืนวันศุกร์ โดยถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนและยุโรปจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 496.87 จุด ที่ 24,100.51 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค. ท่ามกลางการร่วงลงของหุ้น Apple และหุ้น Johnson&Johnson และภาพรวมปีนี้ดาวโจนส์ร่วงลงมาแล้ว 2.5%
ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 1.9% ที่ 2,599.95 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เม.ย. โดยถูกฉุดจากหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มสุขภาพ ขณะที่ภาพรวมปีนี้ปิดลงไป 2.75%
ดัชนี Nasdaq ปิดลง 2.26% ที่ 6,910.66 จุด โดยภาพรวมปีนี้ฝั่งหุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้นได้ 0.11%
ในวันศุกร์ที่ผ่านมาถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ มี.ค. ปี 2016 ที่หุ้น 3 ดัชนีหลักปิดปรับฐาน โดยลงมากว่า 10% จากระดับสูงสุดรอบ 52 สัปดาห์
• รายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยิดค้าปลีกจีนเดือนพ.ย. ที่ออกมาแย่กว่าที่คาดถือเป็นการส่งสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีน และอาจเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนกำลังกลับเป็นขาลงและดูมีความเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่จีนกำลังหาทางแก้ปัญหา Trade War กับทางสหรัฐฯ
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน เดือนพ.ย. ขยายตัวได้ 5.4% ซึ่งเป็นอัตราการชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่ยอดค้าปลีกจีนมีอัตราการขยายตัวที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003
• ด้านหุ้นยุโรปร่วงลงหลังข้อมูลเศรษฐกิจในยูโรโซนออกมาแย่กว่าค่ด โดย IHS Markit เผย ดัชนี PMI ขั้นต้นของยูโรโซนร่วงลงแตะ 51.7 จุดในเดือนนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบ 4 ปี ท่ามกลางกระแสเงินในภาคธุรกิจใหม่อ่อนแอ ขณะที่การจ้างงานปรับตัวลงแตะระดับต่ำรอบ 2 ปี จึงบั่นทอนแนวโน้มเชิงบวกในภาคธุรกิจ
• เกาหลีเหนือกล่าวตำหนินโยบายคว่ำบาตรของสหรัฐฯที่มีจุดประสงค์เพื่อกดดันให้เกาหลีเหนือทำการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยเร็ว พร้อมกล่าวเตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศอาจกลับไปสู่การ “ข่มขู่กันด้วยกำลังรบ” เหมือนเมื่อก่อน หากสหรัฐฯยังคงดึงดันจะคว่ำบาตรเกาหลีเหนือต่อไป
• หุ้นยุโรปปิดลงคืนวันศุกร์จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ดังกล่าวที่ตอกย้ำความกังวลต่อทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -0.63%
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดด้วยท่าทีระมัดระวังการซื้อขายตามรายงานที่บ่งชี้ถึงสภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินปี 2019 รวมทั้งแรงเทขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯคืนวันศุกร์
ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.47% ขณะที่ดัชนี Topix ของญี่ปุ่นเปิด +0.2% ทางด้านดัชนี Kospi เปิด -0.15%
• นักบริการหารเงิน คาดการณ์เงินบาทสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 32.25-33.35 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดในประเทศให้ความสนใจไปยังผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 19 ธ.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่รอติดตาม ประกอบด้วย ผลการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-19 ธ.ค. เพื่อติดตามสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) รวมถึงสถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และประเด็นการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิเดือนต.ค. และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2561