ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ 111.3 เยน/ดอลลาร์ จากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลักที่หนุนให้ค่าเงินเยนแข็งค่ากว่า 2% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ทางด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นมา 0.2% ที่ระดับ 1.1389 ดอลลาร์/ยูโร
• USD/JPY Technical Analysis : ค่าเงินทรงคัวแถว $111.00
ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ทรงตัวอยู่บริเวณ 111.00 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากบรรดานักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
โดยในภาพรวม ค่าเงินเยนยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าลงจากระดับ 111.90 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญกับแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในระยะสั้นบรรดานักเก็งกำไรในค่าเงินดอลลาร์น่าจะหาโอกาสเข้าซื้อแถว 111.00 เยน/ดอลลาร์ แต่การที่ค่าเงินจะปรับขึ้นไปแถว 114.00 เยน/ดอลลาร์ได้อีกครั้ง น่าจะเกิดขึ้นในระยะยาว แต่เป้าหมายในระยะกลางจะอยู่ในระดับ 112.50 เยน/ดอลลาร์
• Mark Jolley นักวิเคราะห์จาก CCB International Securities ประเมินว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงเดือนที่ผ่านมา ที่มีปัจจัยมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศราฐกิจโลก เป็นตัวชักนำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับร่วงตามกันลงมาเกือบ 20% ในภาพรวม ซึ่งผลกระทบดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อออกไปจนถึงในปี 2019 และจะทำให้เป็นปีที่ตลาดหุ้นมีผลประกอบการย่ำแย่ที่สุดปีหนึ่ง
• เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การเจรจาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบรรดาหัวหน้าพรรคสภาคองเกรส ประสบความล้มเหลวในการหาข้อตกลงด้านงบประมาณสนับสนุนให้กับภาครัฐฯ ส่งผลให้ภาครัฐต้องถูก Shutdown ไปบางส่วน
โดยปัญหาในการเจรจาคือการที่นายทรัมป์เรียกร้องงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโกเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ แต่ทางสภาสูงกลับลงมติด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่ามาก จึงทำให้นายทรัมป์ไม่ยินยอมที่จะลงนามในร่างประมาณดังกล่าว
ทั้งนี้ การ Shutdown ของภาครัฐจะเกิดขึ้นประมาณ 15% ของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด โดยที่กระทรวงสำคัญๆ เช่นกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณที่เพียงพอไปก่อนเป็นอันดับแรกๆ
อย่างไรก็ตาม ข้าราชการกว่า 800,000 ชีวิตทั้งในกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงอื่นๆ จะได้รับกระทบจากการ Shutdown โดยจะมีข้าราชการในตำแหน่งสำคัญประมาณ 420,000 ชีวิตที่ต้องทำงานโดยไม่มีค่าจ้าง ขณะที่อีกประมาณ 380,000 ชีวิตจะไม่สามารถเข้าทำงานได้เลย
• รัฐมนตรีกระทรวงการเคหะแห่งประเทศจีน ให้สัญญาว่าจะสร้างความมั่นคงให้กับราคาที่อยู่อาศัยในปี 2019 และจำกัดการเก็งราคาที่อยู่อาศัย ด้วยการกระตุ้นให้เมืองขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่มีการเปิดตลาดสำหรับบ้านเช่ามากขึ้น รวมถึงการที่รัฐบาลจะช่วยกระตุ้นการเพิ่มจำนวนบ้านเช่าอย่างมีประสิทธิภาพ
• จีนเตรียมประกาศยกเลิกภาษีนำเข้าและส่งออกสำหรับสินค้าบางส่วนในปี 2019 โดยสินค้าที่จะถูกยกเลิกภาษีนำเข้าจะอยู่ในกลุ่มอาหารทางเลือกที่ใช้ในการปศุสัตว์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับการนำเข้าวัตถุดิบหลักๆแทน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับตลาด
ทั้งนี้ รายงานจากกระทรวงการคลังแห่งประเทศระบุว่า ภาษีนำเข้าสำหรับ เมล็ดผักกาดก้านขาว ป่นฝ้าย เมล็ดทานตะวัน และปาล์ม จะถูกยกเลิกออกไปภายในวันที่ 1 ม.ค.
• ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้กว่า 1% ในวันนี้ หลังจากที่ราคาร่วงลงไปจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด อันเนื่องมาจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่ตลาดก็มีความกังวลต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
น้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 60 เซนต์ คิดเป็น +1.1% ที่ 54.42 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำ High ที่ 54.66 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้น 37 เซนต์ คิดเป็น +0.8% ที่ 45.96 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับสูงสุด 46.24 เหรียญ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบมีการรีบาวน์หลังจากที่ดิ่งลงไปในสัปดาห์ที่แล้ว โดยน้ำมันดิบ Brent ร่วงลงไป 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.ย. ปี 2017 ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ก็ดิ่งลงไป 11% ในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน ถือว่าเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ม.ค. 2016
อย่างไรก็ดี น้ำมันดิบทั้งสองประเภทต่างร่วงลงไปแล้วกว่า 35% จากระดับสุงสุดในช่วงต้นเดือนต.ค.