• ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดในแดนบวกที่ระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ หลังจากที่เคลื่อนไหวในแดนลบในช่วงต้นตลาดนิวยอร์ก จึงเป็นการปรับสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ของตลาดหุ้น
โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด +260.37 จุด หรือ 1.14% ที่ระดับ 23,138.82 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ปิด +21.13 จุด หรือ 0.86% ที่ระดับ 2,488.83 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +25.14 จุด หรือ 0.38% ที่ระดับ 6,579.49 จุด
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 ดัชนีหลักยังคงปรับตัวลดลงมากกว่า 9% ในภาพรวมเดือน ธ.ค. ขณะที่ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มจะมีผลประกอบการที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008
นักวิเคราะห์จาก Matrix Asset Advisors ระบุว่า ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นในตอนนี้ อยู่ในภาวะผันผวนทั้งในทางที่ดีและในทางที่แย่ โดยนักลงทุนบางส่วนมีความกังวลว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงต่อ ในขณะที่บางส่วนกลัวที่พลาดโอกาสทำกำไรจากการรีบาวน์ครั้งนี้ไป
• ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบอย่างหนัก หลังจากที่เคลื่อนไหวในแดนบวกได้ในช่วงต้นตลาด เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงกลับเข้ามาในตลาด
โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -1.75% หลังจากที่เปิดตลาดในแดนบวก นำโดยดัชนี DAX ของเยอรมนี และดัชนี FTSE MIB ของอิตาลีที่ปิด -2.4% กับ -1.8% ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 ดัชนีรอดพ้นจากการปรับร่วงลงอย่างหนักของหุ้นทั่วโลกในวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการในเทศกาลคริสต์มาส
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดในแดนบวก ตามการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นสหรัฐฯเมื่อคนที่ผ่านมา แต่ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จึงเห็นได้ว่าค่าเงินเยนสามารถปรับแข็งค่าขึ้นได้
โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น เปิด +0.15% แต่ในภาพรวมรายเดือน ธ.ค. ปรับลดลงไปแล้ว 4%
ขณะที่ดัชนีหุ้นออสเตรเรียเปิด +0.5% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.65% ในขณะที่ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นกลับเปิดลบ 0.25%
• นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทระหว่าง 32.45-32.55 บาท/ดอลลาร์ โดยช่วงนี้ตลาดค่อนข้างมีการซื้อขายเบาบาง ขณะที่ปัจจัยชี้นำตลาดโลกไม่ว่าจะเป็นกรณี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะปลดประธานเฟด หรือสงครามการค้าก็ดูจะเงียบๆไป คาดว่าคงจะกลับมาสร้างผันผวน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เหลือนี้ต้องติดตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ