• ค่าเงินดอลลาร์คืนวันจันทร์ที่ 31 ธ.ค. ปรับอ่อนค่าลงต่อเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนและค่าเงินยูโรท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง ประกอบกับตลาดมีการตอบรับกับมุมมองความคืบหน้าทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่ภาพรวมของปี 2018 ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ในทิศทางที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วง 3 ปี
ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.22% มาที่ 96.173 จุด หลังจากไปทำระดับสูงสุดเมื่อช่วงต้นตลาดบริเวณ 96.322 จุด ทางด้านค่าเงินเยนแข็งค่าลงมาที่ 109.61 เยน/ดอลลาร์ จาก 110.4 เยน/ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และค่าเงินยูโรเช้านี้ยังทรงตัวที่ 1.14534 ดอลลาร์/ยูโร
• พรรคเดโมแครตในสภาล่างสหรัฐฯเร่งเดินหน้าผลักดันร่างงบประมาณฉบับใหม่ที่จะช่วยหยุดภาวะ Shutdown ของรัฐบาล หลังพรรคเดโมแครตเข้าครองเสียงข้างมากในสภาล่างตามผลการเลือกตั้งกลางวาระเมื่อเดือน พ.ย.
อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการให้งบประมาณสำหรับการก่อสร้างกำแพงชายแดนเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ ตามที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องไว้แต่อย่างใด ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นความขัดแย้งกับพรรครีพับลิกันที่สนับสนุนแนวคิดของนายทรัมป์
ทั้งนี้ ร่างนโยบายจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกหากได้รับการลงมติผ่าน กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ จะได้งบประมาณสนับสนุนไปจนถึงวันที่ 8 ก.พ. โดยไม่มีงบประมาณสำหรับการก่อสร้างกำแพง และอีกส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณมูลค่ารวมกว่า 2.65 แสนล้านเหรียญที่จะสนับสนุนงบประมาณของกระทรวงต่างๆไปได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย.
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการเรียกบรรดาผู้นำในสภาคองเกรสให้เข้าฟังสรุปแผนการดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านการักษาความปลอดภัยในพื้นชายแดน ท่ามกลางรัฐบาลสหรัฐฯที่ยังคงอยู่ในภาวะ Shutdown จากข้อเรียกร้องของบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนของนายทรัมป์
โดยรายงานระบุว่า เป็นการเรียกให้เข้าฟังสรุปนโยบาย ไม่ใช่การเจรจาแต่อย่างใด โดยผู้ที่เข้าร่วมฟังสรุปจะมีเฉพาะระดับหัวหน้าพรรคของทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตในสภาสูงและสภาล่าง
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า มีการพูดคุยค่อนข้างดีผ่านทางโทรศัพท์กับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเพื่อหารือถึงประเด็นทางการค้า และมีการอ้างถึงขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่ที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน และประเด็นดังกล่าวได้จุดประกายให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี รายงานจาก The Wall Street Journal อาจเป็นรายงานที่เกินจริงต่อความก้าวหน้าที่อ้างถึง เมื่อประเมินจากสถานการณ์ในขณะนี้ ขณะเดียวกันข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯและจีนในช่วง 90 วันนั้น ทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาความแตกต่างทางการค้าที่เกิดขึ้น
• รายงานยอดส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ร่วงลงในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี โดยเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว และการปรับตัวลงดังกล่าว บรรดานักเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่าเป็นผลมาจากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่จะบั่นทอนภาวการณ์ค้าโลก รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวปานกลาง
• นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ระบุว่าพร้อมที่จะพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งได้ทุกเมื่อ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ร่วมกัน แต่ได้เตือนว่า เกาหลีเหนืออาจเลือกเดิน”หนทางใหม่” หากสหรัฐฯยังคงคว่ำบาตรและกดดันเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความชัดเจนว่า”หนทางใหม่” ที่นายคิมกล่าวถึง มีความหมายว่าอย่างไร แต่คำพูดดังกล่าวอาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจเกาหลีเหนือว่าพวกกำลังดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์ตามที่ตกลงกับสหรัฐฯจริงหรือไม่
• นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯจะยังรักษาความร่วมกับอิสราเอลในพื้นที่ซีเรียเพื่อรับมืออิหร่านไว้ แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะวางแผนกองทัพให้เตรียมถอนกำลังออกจากพื้นที่ซีเรียก็ตาม
โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้ประกาศให้กองกำลังทหารสหรัฐฯในซีเรียเตรียมถอนกำลังออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่าพวกเขาได้ปฏิบัติภารกิจในการต่อสู่กับกองกำลัง IS เป็นที่เรียบร้อย และไม่จำเป็นต้องคงอยู่ในพื้นที่อีกต่อไป
การประกาศดังกล่าวของนายทรัมป์เป็นการเพิกเฉยต่อคำแนะนำของบรรดาที่ปรึกษา และกล่าวออกไปโดยไม่ปรึกษากับผู้ที่เกี่ยวข้องกับแผนต่อต้านกลุ่ม IS จึงส่งผลให้นายจิม แมททิส ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม
• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พยายามเรียกเสียงสนับสนุนข้อตกลง Brexit ของเธอจากบรรดา ส.ส. ในสภาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า หากให้การสนับสนุนนโยบายของเธอ อังกฤษจะสามารถหลีกเลี่ยงเลี่ยงวิกฤติไปได้ และรัฐบาลก็จะสามารถให้ความสำคัญไปยังปัญหาอื่นๆอย่างด้านที่อยู่อาศัยและการขาดแคลนแรงงานฝีมือดี เป็นต้น
ทั้งนี้ การลงมติข้อตกลง Brexit ภายในรัฐสภาอังกฤษจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ม.ค. ที่จะถึงนี้
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า บรรดาสถาบันทางการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง JP Morgan Chase, Citigroup และ American Express กำลังมีการปรับลดและเปลี่ยนแปลงรางวัลตอบแทนจากการใช้บัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นยอดจ่ายบัตรเครดิตและลดการมอบของรางวัล ณ ที่ชำระเงินลง
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ หลังจากที่เผชิญการซื้อขายที่ผันผวนนับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ จากแรงเทขายทำกำไรก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบมีการทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 72 เซนต์ คิดเป็น +1.6% ที่ระดับ 45.33 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากไปทำระดับสูงสุดช่วงต้นตลาดบริเวณ 46.22 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบBrent ปิดปรับขึ้น 6 เซนต์ ที่ระดับ 52.22 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 53.80 เหรียญ/บาร์เรล แต่โดยภาพรวมร่วงลง 4.2% จากวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ทางด้านน้ำมันดิบ 2 ชนิดข้างต้นยังคงปิดปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบ Brent ในสัปดาห์ที่แล้วขยับร่วงลง 3% ทางด้าน WTI ปรับตัวลงไปประมาณ 0.5%
อย่างไรก็ดี ภาพรวมราคาน้ำมันดิบปีที่ผ่านมายังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดของปี และปรับตัวลงมาแล้วกว่า 20% จากระดับสูงสุดของปีนี้ อันเป็นผลมาจากภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดและความกังวลเกี่ยวกับภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
• ราคาน้ำมันดิบวันจันทร์สุดท้ายของปี 2018 ปรับตัวลงและส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ราคาร่วงลงตลอดปีนับตั้งแต่ปี 2015 หลังจากที่ภาพรวมไตรมาสที่ 4 แม้นจะมีการปรับตัวขึ้นแต่ก็ไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลของตลาดเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ควบคู่ถึงสัญญาณการกลับมาคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐฯต่ออิหร่าน
สำหรับภาพรวมปี 2018 ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงไปเกือบ 25% ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดร่วงลงไปกว่า 19.5%
ราคาปิดเมื่อวันจันทร์ WTI ปิดปรับขึ้นเพียง 8 เซนต์ ที่ระดับ 45.41 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ Brent ปิดปรับขึ้น 59 เซนต์ คิดเป็น +1.1% ที่ระดับ 53.8 เหรียญ/บาร์เรล
สำหรับนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าปี 2019 จะเป็นปีขาลงต่อของราคาน้ำมัน โดยผลสำรวจจากรอยเตอร์สชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าปีนี้ราคาเฉลี่ยของ Brent จะอยู่ที่ 69.13 เหรียญ/บาร์เรล หรือปรับลงจากคาดการณ์เดิม 5 เหรียญในเดือนที่แล้ว