โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.677% โดยใกล้กับระดับต่ำสุดในช่วงปลายเดือนม.ค. ปี 2017 ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปี ปรบตัวลงสู่ระดับ 3.02%
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตในจีนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน โดยดัชนี PMI จากสถาบัน Markit ของจีนเผยข้อมูลเดือนธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 49.7 จุด จาก 50.2 จุดในเดือนพ.ย.
ทางด้านข้อมูล PMI ของยูโรโซนปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.พ.ปี 2016 โดยสถาบัน IHS Markit เผยข้อมูลความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหดตัวลงแตะระดับต่ำสุดใหม่รอบ 6 ปี ขณะที่ PMI สหรัฐฯร่วงลงทำระดับต่ำสุดรอบ 15 เดือนในเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ดีจากข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กลับเข้าถือครองตราสารหนี้เพิ่มขึ้นในฐานะ Safe-Haven มากกว่าที่จะเลือกลงทุนในตลาดหุ้น
• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นต้อนรับช่วงต้นปีเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ แต่มีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จากกลุ่มนักลงทุนที่กังวลต่อภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกและความผันผวนในตลาดหุ้น โดยค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไปกว่า 1.11% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังข้อมูลภาคการผลิตของสเปน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และเยอรมนีอ่อนตัว
สำหรับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์มองว่า ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนตัวทั่วทั้งยุโรปและเอเชียเมื่อเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับอุปสงค์ภาคการผลิตที่ชะลอตัวลง และทำให้เห็นทิศทางเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยในปีนี้ ขณะที่เหล่าเทรดเดอร์คาดว่าค่าเงินยูโรจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่อีซีบีกำหนดไว้
• ค่าเงินปอนด์ก็ร่วงลงไป 1.2% จากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนตัวลงท่ามกลางความกังวลเรื่องการเจรจา Brexit ที่ยังดำเนินต่อไป
• ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 96.661 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดลงไปทำ Low บริเวณ 95.820 จุด ทางด้านค่าเงินเยนทรงตัวที่ 106.96 เยน/ดอลลาร์ หลังไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดช่วงต้นตลาดบริเวณ 104.96 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไปทำ Low 1.13091 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะกลับมาทรงตัวที่ 1.13419 ดอลลาร์/ยูโรในเช้านี้
• รายงานจาก UBS หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกพร้อมคาดว่าปีนี้จะเผชิญกับภาวะชะลอตัว ท่ามกลางภาวะคุมเข้มในการดำเนินนโยบายทางการเงิน, การเติบโตของผลประกอบการที่อ่อนแอ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศเศรษฐกิจหลักๆ โดยหลังจากที่ทิศทางเศรษฐกิจโลกปีที่แล้วน่าจะขยายตัวได้ 3.8% แต่ปีนี้น่าจะเติบโตได้เพียง 3.6%
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับแรงกดดันของสองชาติมหาอำนาจในการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯและจีน และการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลให้เศรษบกิจโลกอ่อนแอ รวมทั้งสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดต่างๆทั่วโลกด้วย
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า การประชุมร่วมกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบรรดาหัวหน้าพรรคในสภาคองเกรสเมื่อคืนที่ผ่านมา ยังคงไร้ความคืบหน้าเกี่ยวกับการหยุดภาวะ Shutdown ซึ่งปัจจุบันได้เข้าสู่วันที่ 12 แล้ว ขณะที่นายทรัมป์ยังคงยึดติดกับข้อเรียกร้องของตนเกี่ยวกับงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ
ทั้งนี้ บรรดาหัวหน้าพรรคมีกำหนดการจะกลับมาเจรจาอีกครั้งภายในคืนวันศุกร์นี้ จึงเป็นสัญญาณว่าภาวะ Shutdown อาจยืดเยื้อออกไปมากกว่าช่วงสุดสัปดาห์นี้
• นายมิทช์ แมคคอนเนล หัวหน้าพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศกร้าวว่าทางวุฒิสภา จะไม่สนับสนุนร่างงบประมาณของพรรคเดโมแครตที่จะหยุดภาวะ Shutdownของรัฐบาล แต่ไม่รวมงบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ ตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดี โดยร่างงบประมาณดังกล่าวมีกำหนดการจะลงมติภายในสภาล่าง คืนวันพฤหัสบดีนี้
• นายแพททริก ชานาฮาน (Patrick Shanahan) กลายเป็นทีจับตามองของสื่อในสหรัฐฯเมื่อวานนี้ หลังเขาได้เปิดตัวในฐานะผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐฯ แทนที่นายจิม แมททิส รัฐมนตรีคนก่อนที่ประกาศลาออกไปอย่างกระทันหัน เมื่อช่วงปลายเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา
โดยนายชานาฮาน ก่อนหน้านี้รับตำแหน่งรองรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และยืนยันจะทำงานตามทัศนคตินายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สำเร็จลุล่วง
• รายงานจากสำนักข่าวในจีน ระบุว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนกำลังพิจารณาออกมาตรการใหม่ เพื่อมากระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด
ขณะที่รายงานจาก China International Capital Corporation ระบุว่า ทางธนาคารกลางกำลังยื่นเสนอมาตรการปรับลดเพดานการถือครองสินทรัพย์สำรองสำหรับภาคธนาคารพาณิชน์ (Required Reserve Ratio) ซึ่งอาจทำให้มีเม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดเป็นมูลค่า 4 แสนล้านหยวนได้
• Apple ประกาศลดคาดการณ์ยอดขายสินค้าในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา โดยนายทิม คุก CEO ของ Apple ได้ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะยอดขาย iPhone ในประเทศจีนที่ตกต่ำ จากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ทั้งนี้ แม้สินค้าของ Apple จะไม่ถูกขึ้นภาษีโดยรัฐบาลจีน แต่ผู้บริโภคชาวจีนบางส่วนก็เลือกที่จะไม่อุดหนุนสินค้าของ Apple เนื่องจากเป็นบริษัทของชาวสหรัฐฯ
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันแรกของปี 2019 โดยได้รับอานิสงส์จากสัญญาณอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวจากซาอุดิอาระเบีย จึงช่วยชดเชยปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯและรัสเซีย ประกอบกับข่าวข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้กว่า 5% ในช่วงต้นตลาดก่อนจะอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงปลายตลาด ซึ่งน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.13 เหรียญ คิดเป็น +2.5% ที่ 46.54 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 1.13 เหรียญ คิดเป็น +2.1% ที่ 54.93 เหรียญ/บาร์เรล
• เหล่าเทรดเดอร์ตอบรับกับสัญญาณบวกที่ว่า ซาอุดิอาระเบียมีการเริ่มต้นปรับลดกำลังการผลิตหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ขณะที่ยอดส่งออกน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียในเดือนธ.ค. ลดลงกว่า 5 แสนบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 7.253 ล้านบาร์เรล/วัน ตามอ้างอิงของรายงานจากบลูมเบิร์ก
• J.P. Morgan หั่นคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent ปีนี้ลงสู่ระดับ 73 เหรียญ/บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าจะมีราคาเฉลี่ยที่ 83.5 เหรียญ/บาร์เรล