ตลาดรอคอย 4 ม.ค.นี้ เนื่องจากจะเป็นวันที่ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวถ้อยแถลง ณ ที่ประชุมแอตแลนต้า ที่อาจมีการกล่าวถึงควาามเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัว ประกอบกับเงื่อนไขของตลาดการเงินที่ตึงตัว จึงมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีผ่อนคลายในการใช้นโยบายการเงินมากขึ้น
ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.49% ที่ 1.2545 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 1.1364 ดอลลาร์/ยูโรในวันนี้ หลังจากที่ร่วงลงไปกว่า 1% หลังข้อมูลเศรษฐกิจภาคการผลิตในสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมนีหดตัว
· ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์อ่อนค่าลงทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ในช่วงต้นตลาดเอเชียบริเวณ 0.6776 ดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยภาพรวมวันนี้ขยับลง 0.59% ที่ 0.6943 ดอลลาร์ออสเตรเลีย
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียจะสามารถกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้งหากมีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่มีกำหนดจะพูดคุยกันอีกครั้งในเดือนนี้
· ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยสามารถ Break แนวรับสำคัญทางเทคนิคได้ จึงยิ่งตอกย้ำถึงกลุ่มนักลงทุนที่กังวลต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหันกลับมาถือครอง Safe-Haven แม้ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวค่อนข้างเบาบางก็ตาม
สภาวะการเปลี่ยนถ่ายการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงมาจากบริษัทฯ Apple Inc มีการหั่นผลประกอบการบริษัท จากความกังวลต่อภาวะอุปสงค์ทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ที่ส่งผลให้ยอดขายใน Q4 ที่ผ่านมาอาจชะลอตัวลงในประเทศ อันเป็นผลพวงจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของเอเชียและยุโรป
ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นอีก 1.4% ที่ระดับ 107.26 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ช่วงเช้าลงไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตัั้งแต่มี.ค. 2018 ที่ระดับ 104.96 เยน/ดอลลาร์ ก่อนจะมีการรีบาวน์กลับตามมา ขณะที่ระยะยาวนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่ามีโอกาสเห็นเงินเยนแข็งค่าได้อีก
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่าเขาได้รับจดหมายจากนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และมีความเป็นไปได้ที่ผู้นำทั้งสองอาจพบกันอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อเจรจากันต่อเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
· การดำเนินการเป็นอันดับแรกของพรรคเดโมแครตที่กลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่าง คือการพยายามผลักดันร่างงบประมาณที่จะเข้ามาหยุดภาวะ Shutdown ของรัฐบาล โดยที่จะไม่มอบเงินสนับสนุนการก่อสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกตามที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องเอาไว้
อย่างไรก็ตาม หนทางของร่างงบประมาณดังกล่าวยังคงไร้ความชัดเจน หลังจากนายมิทช์ แมคคอนเนล หัวหน้าพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศกร้าวว่าทางวุฒิสภา จะไม่สนับสนุนร่างงบประมาณของพรรคเดโมแครต
· ประเด็นใหญ่ต่อนักลงทุนช่วงนี้ หนีไม่พ้นเรื่องที่ นายทิม คุก ผู้บริหารบริษัท Apple Inc มีการหั่นคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ลงด้วยสู่ระดับ 8.4 หมื่นล้านเหรียญ ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 8.9 - 9.3 หมื่นล้านเหรียญ โดยบริษัทปรับลด Margin ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 38-38.5% สู่ระดับ 38%
ทั้งนี้ ผู้บริหารบริษัทรายใหญ่ยังคงกล่าวตำหนิถึงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อผลกำไรของ iPhone ที่ออกมาน่าผิดหวัง และข่าวนี้ก็ได้กระตุ้นให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อันเป็นผลสะท้อนจากภาวะตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่บั่นทอนผลกำไรของภาคบริษัท
· นายทิม คุก ประธานบริหารหรือ CEO จากบริษัท Apple กล่าวกับสำนักข่าว CNBC โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าภาวะตึงเครียดทางการค้าที่กำลังดำเนินไประหว่างสหรัฐฯและจีนกำลังสร้างแรงกดดันให้แก่เศรษฐกิจจีน
และภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเผยแพร่ข้อความดังกล่าว ส่งผลให้ภาคส่วนเทคโนโลยีส่วนใหญ่ของจีนปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นบริษัท Apple ที่ปรับตัวลงจนถึงช่วงเที่ยงวันนี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนมีการซื้อขายที่ลดลงถึง 0.487% ในตลาด Chinext Composite ขณะที่ใน Shenzhen Coposite และ Shenzhen Component ปรับตัวลงไป 0.454% และ 0.447% ตามลำดับ และดัชนีเสิ่นเจิ้นก็ยังคงเฝ้าจับตาไปยังสัญญาณจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด
· นายปีเตอร์ อัลธ์เมียร์ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี กล่าวว่า การที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียูเป็นปัจจัยเสี่ยงร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าเขาจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวได้ก็ตามที
ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ อังกฤษ เผยว่า ภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษในกลุ่มภาคบริษัทมียอดขายตกลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อไตรมาสที่ 4/2018 ที่ผ่านมา
· นายเดวิด เดวิส อดีตรัฐมนตรีกระทรวง Brexit แสดงความคิดเห็นว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ควรเลื่อนการลงมติข้อตกลง Brexit ภายในรัฐสภาออกไปก่อน เพราะว่า หากอังกฤษใช้เวลาเตรียมรับมือกับการถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal มากเท่าไหร่ ทางอียูก็มีแนวโน้มที่จะเสนอข้อตกลงที่ดีกว่าเดิมมากขึ้นเท่านั้น พร้อมแสดงความกังวลว่า หากอังกฤษยอมรับข้อสนเอจากอียู ทางอียูอาจเรียกเก็บค่าเสียหายเป็นเงินมูลค่ากว่า 3.9 หมื่นล้านปอนด์
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงท่ามกลางความผันผวนของตลาดค่าเงินและตลาดหุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์มีการกล่าวเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับอุปทานน้ำมันที่กำลังเพิ่มขึ้นในตลาดโลก
น้ำมันดิบ WTI ปรับลงประมาณ 2% จากระดับปิดวานนี้ โดยลงมาอีก 93 เซนต์ ที่ 45.61 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 1.1% หรือขยับลง 60 เซนต์ ที่ 54.31 เหรียญ/บาร์เรล