โดยค่าเงินเยนอ่อนค่า 0.5% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ที่บริเวณ 108.18 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียปรับสูงขึ้น 0.2% บริเวณ 0.7020 ดอลลาร์
• นักวิเคราะห์จาก CMC Markets ระบุว่า มุมมองของตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกเล็กน้อย จึงเป็นสาเหตุทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงในวันนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังไม่มากพอที่จะทำให้ตลาดหันกลับมาถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจพิจารณาไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยในปี 2019 แม้แต่ครั้งเดียว และอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปี 2020 โดยทางตลาด Interest rate futures คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน เม.ย. ปี 2020
• ทางด้านดัชนีดอลลาร์วันนี้ค่อนข้างทรงตัวแถวบริเวณ 96.3 จุด หลังดัชนีปรับอ่อนค่าลง 0.56% ในช่วงตลาดก่อนหน้า
• ขณะที่ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ค่อนข้างทรงตัวใกล้ระดับปิดตลาดของวันก่อนที่บริเวณ 1.1393 ดอลลาร์/ยูโร และ 1.2636 ดอลลาร์/ปอนด์ ตามลำดับ
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค. ขยายตัวสู่ระดับ 52.6 จุด มากกว่าผลสำรวจเดิมที่ระดับ 52.4 จุด เทียบกับยอดเมื่อเดือน พ.ย. ที่ระดับ 52.2 จุด
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบรรดาผู้นำพรรคในสภาคองเกรส มีกำหนดการจะร่วมประชุมกันในคืนวันศุกร์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับหนทางที่ทุกฝ่ายจะสามารถยอมรับร่างงบประมาณและหยุดภาวะ Shutdown ลงได้ ในขณะที่ภาวะ Shutdown กำลังจะเข้าสู่สัปดาห์ที่สองในคืนนี้
• สภาล่างแห่งสหรัฐฯที่พรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมาก มีมติผ่านร่างงบประมาณที่จะเข้ามาหยุดภาวะ Shutdown ในช่วงสายของวันนี้ ซึ่งร่างงบประมาณดังกล่าว หากผ่านการลงมติในสภาสูง จะช่วยให้หน่วยงานที่สำคัญต่างๆของภาครัฐรวมถึงกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสามารถดำเนินการต่อไปได้จนถึงวันที่ 8 ก.พ.
สำหรับหน่วยงานอื่นๆ อย่างกระทรวงต่างประเทศ พาณิชย์ การเกษตร แรงงาน การคลัง และอื่นๆ ร่างงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย.
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่ทางสภาล่างจะทำการลงมติ ทางโฆษกประจำทำเนียบได้กล่าวเตือนว่า ที่ปรึกษาประจำตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเสนอให้นายทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีในการยับยั้งไม่ให้ร่างงบประมาณสามารถผ่านการลงมติจากสภาคองเกรสได้ หากไม่มีการรวมงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงชายแดนเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญ
• ตลาดแรงงานสหรัฐฯมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ในเดือน ธ.ค. รวมถึงอัตราค่าจ้างที่น่าจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งอาจช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของตลาดที่มีต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจลงไปได้บางส่วน
โดยการจ้างงานนอกภาคการเกษตรมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ เพียง 155,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. เนื่องจากผลกระทบของอากาศที่เย็นลงในสหรัฐฯ จึงกดดันจำนวนการจ้างงานในภาคการก่อสร้างลง
ขณะที่อัตราค่าจ้างเฉลี่ยราย ช.ม. มีแนวโน้มขยายตัว 0.3% ในเดือน ธ.ค. หลังจากที่ขยายตัวได้ 0.2% ในเดือน พ.ย. แต่สำหรับภาพรวมอัตราค่าจ้างตลอดปีแนวโน้มชะลอการขยายตัวลงสู่ระดับ 3.0% จากเดิม 3.1% ในเดือน พ.ย.
ทางด้านอัตราว่างงานถูกคาดการณ์ว่าจะทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 49 ปี ที่ระดับ 3.7% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX มีมุมมองต่อราคาน้ำมันโดยมองว่า ราคาน้ำมันปรับเป็นขาลงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนต.ค. โดย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 46.80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาปิดเหนือแนวต้านได้มีโอกาสเห็นราคากลับขึ้น 49.41 เหรียญ/บาร์เรล ที่เคยเป็นระดับต่ำสุดเดิมเมื่อ 29 พ.ย. ขณะที่แนวรับทองคำจะอยู่แนว 42.05 - 42.55 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากหลุดลงมามีโอกาสเห็นน้ำมันไปทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ส.ค. 2016 ที่ 39.19 เหรียญ/บาร์เรล
· ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ โดยปรับขึ้นได้หลังจากที่ปรับลดลงในคืนที่ผ่านมา หลังทางการจีนได้ยืนยันว่าจะจัดการประชุมร่วมกับสหรัฐฯเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าในวันที่ 7-8 ม.ค. นี้
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.7% หรือ 0.38 เหรียญ ที่บริเวณ 56.33 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 1.4% หรือ 0.64 เหรียญ ที่บริเวณ 47.73 เหรียญ/บาร์เรล
สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ ราคาน้ำมันทั้ง 2 สัญญามีแนวโน้มปิดตลาดในแดนบวกได้ในสัปดาห์แรกของปี 2019 แม้ว่าตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงก็ตาม