• ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงต่อภายในวันนี้ ท่ามกลางมุมมองเชิงลบที่มีต่อดอลลาร์ หลังเฟดมีสัญญาณที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2019
ขณะที่ปริมาณความต้องสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ในตลาดเอเชียวันนี้ หลังธนาคารกลางจีนมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับการชะลอตัวลงอย่างมากของภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงความหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้
ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ 0.22% ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรีย ที่มักถูกใช้เป็นมาตรวัดปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง ปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% และทำระดับสูงสุดของวันที่ 20 ธ.ค.
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนปรับอ่อนค่าลง 0.41% บริเวณ 108.09 เยน/ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก CMC Markets ระบุว่า กระแสข่าวต่างๆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นในตลาดกลับมาอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนตลาดจะค่อนข้างชื่นชอบถ้อยแถลงของประธานเฟด เราจึงได้เห็นค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ
ขณะที่การปรับลดลดเพดานการถือครองสินทรัพย์สำรองสำหรับภาคธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratios :RRRs) จากธนาคารกลางจีน เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงได้เป็นอย่างดี จึงช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียปรับแข็งค่าขึ้นได้
สำหรับดัชนีดอลลาร์วันนี้ ปรับอ่อนค่าลงมาอีก 0.2% จากระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 96.16 จุด ลงมาบริเวณ 95.96 จุด
ด้านค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินหยวนปรับอ่อนค่าลง 0.2% บริเวณ 6.8490 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลจีนอาจมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในปีนี้ได้อีก โดยมองว่าทางธนาคารกลางจีนอาจปรับลดเพดาน RRRs ลงได้อีก 1% ถึง 4 ครั้ง
• ผลสำรวจโดย YouGov พบว่ามีชาวอังกฤษจำนวนมากขึ้นที่ต้องการโหวตให้อังกฤษยังคงอยู่ในอียูต่อไป หากมีการลงประชามติอีกครั้ง
โดยอังกฤษมีกำหนดจะถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค. ขณะที่นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังคงประสบเสียงคัดค้านกับนโยบาย Brexit ของเธอจากเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
ทั้งนี้ ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า มีชาวอังกฤษจำนวนประมาณ 46% ที่ต้องโหวตให้อังกฤษยังคงอยู่ในอียูต่อไป ขณะที่อีก 39% ต้องโหวตให้อังกฤษถอนตัวออกไป และที่เหลือคือผู้ที่ไม่แสดงความคิดเห็นหรือไม่ทราบ
• นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์จากสถาบัน INSEAD business school คาดการณ์ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจถูกกดดันให้เร่งทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน หากตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงเผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บรรดาตัวแทนการเจรจาจากสหรัฐฯได้จัดการประชุมทางการค้าในระดับรองรัฐมนตรีร่วมกับตัวแทนจากจีน ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 7-8 ม.ค. นี้
ซึ่งทางนักเศรษฐศาสตร์ได้ยอมรับว่า ปัญหาความขัดแย้งมี “ซับซ้อนและยากเกินไป” ที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงสำคัญๆได้ทันเดดไลน์ 90 วัน แต่มองว่าข้อตกลงรายย่อยอาจเกิดขึ้นได้
• Apple ประกาศเป็นหุ้นส่วนทางการค้าร่วมกับ Samsung ที่คู่แข่งรายใหญ่ของตน ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้จะทำให้ Smart TVs ของ Samsungสามารถเข้าถึง iTunes ที่เป็นของ Apple ได้ ขณะที่ iPhone และ iPad จะสามารถใช้งาน AirPlay 2 เพื่อส่งสื่อบันเทิงเข้าสู่หน้าจอทีวีผ่านโทรศัพท์มือถือของตนได้
การประกาศเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ เป็นสัญญาณว่า Apple มีทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด และกำลังพยายามให้ความร่วมมือกับคู่แข่งของตนในการนำบริการและความถึงพอใจมาสู่ผู้คนมากขึ้น
• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่าสถาการณ์ทางการเมืองอังกฤษจะวุ่นวายในระดับที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน หากข้อตกลง Brexit ของเธอถูกปฏิเสธโดยรัฐสภาภายในการลงมติเดือนนี้ ท่ามกลางโอกาสเพียงน้อยนิดที่นโยบายของเธอจะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ
ทั้งนี้ นางเมย์ยังคงยืนยันว่าการลงมติของตกลง Brexit ภายในรัฐสภาจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ม.ค. นี้ แม้จะมีกระแสคาดการณ์ว่าเธออาจเลื่อนการลงมติออกไปก็ตาม
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า ปริมาณการลงทุนการบรรดากองทุนและอุตสาหกรรมจีนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ทีมบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ออกนโยบายกีดกันการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯจากจีน โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ที่บรรดากองทุนจากจีนได้ยกเลิกข้อตกลงลงเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันวิจัย Rhodium Group ระบุว่า ในช่วงต้นปี 2018 ปริมาณการลงทุนจากจีนสู่สหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางบรรดากองทุนที่เร่งเข้าทำข้อตกลงก่อนที่นโยบายกีดกันจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค. ก่อนที่ปริมาณการลงทุนจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
• กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ระบุว่า ตัวแทนการเจรจาการค้าจากสหรัฐฯและจีนทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะหยุดความขัดแย้งทางการค้าและหาจุดยืนร่วมกันให้สำเร็จ ขณะที่การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้
• ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นประมาณ 1.5% ในวันนี้ ท่ามกลางกระแสคาดกาณ์เชิงบวกที่มีต่อการเจรจาการค้าระหว่งาสหรัฐฯและจีน ว่าจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศได้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังมีแรงหนุนมาจากการปรับลดกำลังการผลิตของบรรดาผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อีกด้วย
ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 1.5% หรือ 0.87 เหรียญ ที่บริเวณ 57.93 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 1.7% หรือ 0.80 เหรียญ ที่บริเวณ 48.76 เหรียญ/บาร์เรล