· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น โดยรีบาวน์กลับจากระดับต่ำสุดรอบเกือบ 3 เดือน ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่กลุ่มนักลงทุนกลับพุ่งประเด็นไปยังความเสี่ยงทางเศรษฐกิจยูโรโซนที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากที่ข้อมูลล่าสุดยังส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวในภูมิภาค
ข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีออกมาแย่กว่าที่คาดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 จึงกดดันทำให้ยูโรอ่อนค่า ขณะเดียวกันความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นอาจทำให้อีซีบียิ่งต้องระมัดระวังต่อการถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ บรรดากลุ่มผู้ส่งออกของเยอรมนี ยังคงกังวลต่อภาวะอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลง และข้อขัดแย้งทางการค้าอันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน
ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไป 0.24% ที่ 1.1447 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ภาพรวมกรอบการเคลื่อนไหวตั้งแต่เดือนพ.ย. อยู่ระหว่าง 1.12 – 1.15 ดอลลาร์/ยูโร
การอ่อนค่าของยูโรได้หนุนให้ดัชนีดอลลาร์ขยับขึ้น 0.21% ที่ 95.88 จุด หลังจากที่อ่อนค่าไปกว่า 2% ในช่วงกลางเดือนธ.ค. และภาพรวมยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 3 เดือนที่ทำไว้เมื่อวันจันทร์บริเวณ 95.638 จุด
อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ดูจะตอบรับจากผลเชิงบวกของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนด้วย หลังจากที่นายวิลเบอร์ รอส เลขาธิการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า เห็นโอกาสดีที่สหรัฐฯและจีนจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นจากมุมมองเชิงบวกด้านข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับขึ้นมาที่ 2.71% ขณะที่ผลตอบแทนอายุ 30 ปีปรับขึ้นมาที่ 2.9949%
· การเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนจากสหรัฐฯและจีนที่จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง ได้รับการขยายเวลาเข้าสู่วันที่ 3 ในวันพุธนี้ หลังการเจรจาเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาค่อนข้างมีผลการเจรจาไปในทิศทางที่ดี ซึ่งทางจีนได้ตกลงที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าในกลุ่มการเกษตร พลังงาน และโภคภันฑ์จากสหรัฐฯ ขณะที่ทางสหรัฐฯก็ตกลงที่จะเปิดตลาดให้จีนเข้าถึงได้มากขึ้น
ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ ได้มีการทวีตข้อความ โดยระบุว่า “การเจรจาการค้าจีนดำเนินไปได้อย่างดี!” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ อีกหนึ่งสัญญาณบวกต่อการเจรจา คือการจีนอนุมัติคำสั่งให้สามารถนำเข้าพืชผลทางการเกษตรแบบตัดต่อพันธุกรรม 5 ประเภทจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นยอดส่งออกของบรรดาเกษตรกรในสหรัฐฯที่กำลังพิจารณาจะปลูกพืชชนิดใดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
· นายทิม คุก CEO ของ Apple แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนจากสหรับฯและจีน โดยระบุว่า “แม้ปัญหาการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศจะเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนมาก และมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แต่ผมก็มีความเชื่อมั่นมากว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมกล่าวแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องการสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกเสียงสนับสนุน ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของสหรัฐฯในช่วงเช้านี้ เวลา09.00 น.ตามเวลาประเทศไทย
การแถลงการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะ Shutdown ของรัฐบาลที่ล่วงเข้าสู่วันที่ 17 เนื่องจากบรรดาผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับงบประมาณสร้างกำแพงชายแดนเป็นมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
· รายงานจากทำเนียบขาวระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี มีกำหนดการจะพบกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาภายในคืนวันพุธนี้ ท่ามกลางภาวะ Shutdownของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้าสู่วันที่ 18 ในคืนนี้
· World Bank คาด การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.9% ในปี 2019 เทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 3% ในปี 2018
โดยมุมมองของ World Bank เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯและจีน ที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินเป็นเวลาหลายเดือน แม้จะมีสัญญาณพัฒนาไปในเชิงบวกหลังการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนของทั้ง 2 ประเทศได้ขยายเวลาเข้าสู่วันที่ 3 ก็ตาม
ทั้งนี้ ทาง World Bank ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯว่ามีแนวโน้มจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.5% ภายในปี 2019 จากเดิมที่ 2.9% ในปี 2018 ขณะที่เศรษฐกิจจีนในปี 2019 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 6.2% ชะลอลงจากปีก่อนที่ 6.5%
สำหรับเศรษฐกิจของบรรดาตลาดเกิดใหม่ World Bank คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 4.2% ในปี 2019 และสำหรับเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วถูกคาดว่าจะขยายตัวในปีนี้ได้ 2%
· นายเจมี่ ดิมอน CEO ของ J.P. Morgan Chase ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นว่า ตลาดมีการตอบรับกับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มากเกินไป (Overreact) ซึ่งอาจเป็นเพราะมีปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Trade war หรือกระสคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนจะชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงในเร็วๆนี้
โดยนายเจมี่ได้แสดงมุมมองว่า ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและยังเติบโตได้เรื่อยๆ โดยมีแรงหนุนมาจากการจ้างงานและค่าจ้างที่ขยายตัว จึงคาดว่าเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ดีในปี 2019 และมุมมองของตลาดน่าจะมีการกลับตัวในเร็วๆนี้
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้น เพราะได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่าจะเห็นอุปสงค์น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากสหรัฐฯและจีนสามารถแก้ไขข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ ประกอบกับความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกจะขยายกรอบการปรับลดกำลังการผลิตก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยหนุนราคาน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิด +2.6% หรือขยับขึ้น 1.26 เหรียญ ที่ 49.78 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brexnt ปิดปรับขึ้น 1.29 เหรียญ คิดเป็น +2.3% ที่ 58.62 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี นายสตีเวน วินเบิร์ก สมาชิกคณะผู้แทนเจรจาทางการค้าสหรัฐฯ เผยว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนดำเนินไปด้วยดี และมีการเจรจาต่อนอกรอบในวันนี้