โดยค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียปรับแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่บริเวณ 71.62 เซ็นต์ ส่วนค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและคราวน์นอเวย์ต่างปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.25% ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ปรับแข็งค่าได้ประมาณ 0.5%
นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities ระบุว่า ค่าเงินเหล่านี้ได้รับแรงหนุนหลังราคาน้ำมัน WTI ปรับสูงขึ้นทดสอบระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 50 เหรียญ/บาร์เรล แม้จะยังไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ แต่ความเชื่อมั่นก็เริ่มกลับเข้ามาสู่ตลาดได้
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Mizuho Securities มองว่า มุมมองเชิงลบที่มีต่อเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ปัจจุบันได้เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว
ด้านดัชนีดอลลาร์วันนี้ ปรับอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 95.803 จุด เคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 11 สัปดาห์ที่ 95.638 จุด ที่อ่อนค่าลงไปในช่วงต้นสัปดาห์นี้
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน ปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.10% ที่บริเวณ 108.84 เยน/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินยูโรวันนี้ปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% บริเวณ 1.1459 ดอลลาร์/ยูโร แต่การปรับแข็งค่าขึ้นในวันนี้ยังไม่มากพอที่จะช่วยกลบการปรับอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงตลาดก่อนหน้า ที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน
ด้านค่าเงินปอนด์อังกฤษปรับแข็งค่าเล็กน้อยประมาณ 0.2% ที่บริเวณ 1.2740 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าค่าเงินปอนด์น่าจะค่อนข้างทรงตัวไปจนกว่าจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็น Brexit ที่คาดว่าน่าจะมีข่าวที่สร้างความกังวลออกมาอีก
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX มองว่า ค่าเงินยูโรตอนนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับดัชนีดอลลาร์ไม่น้อย และมีโอกาสที่จะเห็นค่าเงินยูโร Breakout ได้ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินยูโรเกิดความผันผวนครั้งใหญ่ได้ ซึ่งหากค่าเงินยูโรยืนเหนือ 1.1500 ดอลลาร์/ยูโรได้ ก็มีโอกาสจะกลับมายืนเหนือ 1.1800 ดอลลาร์/ยูโร แต่หากไม่ก็มีโอกาสจะปรับตัวอ่อนค่าลงต่อ
· ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยโดยมีกรอบด้านบนบริเวณ 1.1460 ดอลลาร์/ยูโร ตั้งแต่ก่อนประชุมเฟดในเดือนธ.ค. โดยตลาดรอความชัดเจนของทิศทางการดำเนินนโยบายของเฟดเพื่อกำหนดทิศทางค่าเงินยูโร
อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรดูจะยังแกว่งตัวได้ดีบริเวณแนวต้านด้านบนในกราฟราย 4 ชม. และมีการเทรดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย SMA ราย 50 และ 200 วัน จึงยังเห็นสัญญาณขาขึ้นของยูโรได้อยู่
ซึ่งหากค่าเงินยูโรฝ่าระดับ 1.1500 ดอลลาร์/ยูโรได้ ก็มีโอกาสเห็น High เดิมในเดือนพ.ย.ที่ 1.1550 ดอลลาร์/ยูโร และช่วงกลางเดือนต.ค. บริเวณ 1.1620 ดอลลาร์/ยูโรได้ แต่ก็ต้องรอดูระดับแนวรับ 1.1440 ดอลลาร์/ยูโรให้ดีเช่นกัน เพราะหากหลุดลงมามีโอกาสอ่อนค่าต่อมาช่วงปลายเดือนธ.ค. บริเวณ 1.1420 ดอลลาร์/ยูโร และมีโอกาสกลับลงมาหาแนวรับถัดไปที่ 1.1380 ดอลลาร์/ยูโร และแนวรับสำคัญที่ 1.1345 ดอลลาร์/ยูโร อันถือเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย SMA ราย 200 วัน
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวแถลงการณ์เกี่ยวกับการสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกเสียงสนับสนุน ซึ่งได้ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของสหรัฐฯในช่วงเช้านี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาประเทศไทย
สำหรับประเด็นสำคัญที่นายทรัมป์พูดถึง มีดังต่อไปนี้ :
1. ชาวอเมริกันกำลังทำร้ายจากผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย
2. กำแพงมี “ความสำคัญอย่างยิ่ง” สำหรับการรักษาความปลอดภัยแถวชายแดน
3.พรรคเดโมแครตกำลังปฏิเสธที่จะยอมรับถึง “วิกฤติ” ดังกล่าว
4. ภาวะ Shutdown จะดำเนินต่อไป จนกว่าเดโมแครตจะยอมสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างกำแพง
5. ต้องการงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงเป็นมูลค่า 5.7 พันล้านเหรียญ
6. กำแพงจะถูกก่อสร้างโดยใช้เหล็กแทนที่คอนกรีต
· รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า บรรดาตัวแทนการค้าจากสหรัฐฯและจีนสามารถเจรจาเพื่อลดความแตกต่างทางการค้าลงมาได้บางส่วน โดยมีความคืบหน้ามากขึ้นเกี่ยวกับการการอุดหนุนสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจมีการประชุมในระดับคณะรัฐมนตรีตามมาอีกทีภายในช่วงเดือนนี้ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงไม่พร้อมที่จะลงนามในสนธิสัญญาการค้าในขณะนี้แต่อย่างใด
· ขณะที่รายงานล่าสุดจาก Reuters ระบุว่า บรรดาตัวแทนการเจรจาได้จบการประชุมในวันนี้ลง และกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศ
· กระทรวงการคลังแห่งประเทศจีนมีแนวโน้มที่จะรายงานคาดการณ์งบประมาณด้านรายจ่ายประจำปีไว้ที่ 2.8% จากยอดจีดีพี สำหรับปี 2019 เพิ่มมากขึ้นจากเดิมในปี 2018ที่ระดับ 2.6%
ทั้งนี้ การรายงานคาดการณ์งบประมาณของกระทรวงการคลังมักจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. ซึ่งตลาดจะจับตาตัวเลขดังกล่าวเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใดๆทางนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งมีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะเน้นการออกนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้นท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
· ท่ามกลางภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯที่กำลังดำเนินเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 พรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรนำโดยนางแนนซี่ เปโลซี่ โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร ที่เข้าครองเสียงข้างมากในสภาล่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพยายามผลักดันร่างงบประมาณที่จะเข้ามาหยุดภาวะ Shutdown อีกครั้งภายในคืนนี้
การผลักดันร่างนโยบายในคืนนี้ ยังเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นของบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันว่าจะให้การสนับสนุนแนวคิดของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยอมปล่อยรัฐบาลยังคงอยู่ในภาวะ Shutdown ต่อไปหรือไม่อีกด้วย
· บรรดา ส.ส. ที่สนับสนุนการรวมเป็นหนึ่งกับอียูในรัฐสภาอังกฤษ เริ่มมีการวางโครงร่างสำหรับการประกาศลงประชามติ Brexit ใหม่อีกครั้ง หากการลงมติข้อตกลง Brexitของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในการเรียกเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาในการลงมติสัปดาห์หน้า ซึ่งทางบรรดา ส.ส. อาจมีการประกาศการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปภายในเวลา 21 วัน หากการลงมติล้มเหลว
ขณะที่อนาคตของ Brexit ยังคงไร้ความแน่ชัด ซึ่งอังกฤษมีตัวเลือกระหว่างการถอนตัวออกจากอียูอย่างไร้ข้อตกลงใดๆ ไปจนถึงการลงประชามติใหม่อีกครั้ง ซึ่งการลงมติBrexit ในรัฐสภาวันที่ 15 ม.ค. ถูกคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าจะประสบความล้มเหลว
· ธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงแตะระดับ 2.9% ในปี 2562 ซึ่งลดลงจากระดับ 3% ในปี 2561 ท่ามกลางประเด็นความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ความอ่อนแอของภาคการผลิต และความตึงเครียดทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่
· แหล่งข่าวใกล้ชิดภายในทำเนียบขาว ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นที่จะผลักดันข้อตกลงกับจีนให้เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพื่อหนุนตลาดการเงินที่อ่อนตัวไปจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Trade War
ขณะที่การเจรจาระดับกลางระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯและจีนที่ถูกขยายเวลาเพิ่มอีกครั้งในวันนี้ ก็ดูมีสัญญาณที่ค่อนข้างดีอย่างเห็นได้ชัดจากการทวิตเตอร์ส่วนตัวของนายทรัมป์เอง ที่ว่าสองฝ่ายมีความคืบหน้าในการหาข้อตกลงร่วมกัน
· หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายตลาดหุ้นจากบริษัท BlackRock กล่าวว่า เราจะเห็นได้ถึงความมีเสถียรภาพในตลาดมากขึ้น หากสหรัฐฯและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ทั้งหมดนี้น่าจะยังเป็นปัจจัยสำหรับตลาด ซึ่งมองว่าภาพรวมาน่าจะใช้เวลาอีกหลายปี
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1% โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจึงช่วยบรรเบาทางชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.3% ที่ระดับ 50.42 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 1.2% ที่ระดับ 59.41 เหรียญ/บาร์เรล