• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 10 มกราคม 2562

    10 มกราคม 2562 | Economic News
\

·       ค่าเงินดอลลาร์ถูกกดดันในช่วงต้นตลาดจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะชะลอการใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่มุมมองบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ก็ชช่วยลดความต้องการดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven

ความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโดยส่วนใหญ่ได้หนุนให้หุ้นเอเชียช่วงเช้าขยับขึ้นจากความคืบหน้าในการเจรจาที่เกิดขึ้น

·       หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดจาก CMC Markets กล่าวว่า เฟดดูมีท่าทีกังวลและทำให้ตลาดตอบรับดังกล่าว จึงมองว่าเฟดมีแนวโน้มจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะที่มุมมองเชิงบวกเรื่องเจรจาทางการค้าได้หนุนความเชื่อมั่นในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง รวมทั้งทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น เนื่องจากการหารทางแก้ปัญหาได้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงไป

·       ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.7% ที่ 95.14 จุด ขณะที่ภาพรวมปีที่แล้วปรับแข็งค่าขึ้นได้ประมาณ 4.3% จากการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยไป 4 ครั้ง โดยให้เหตุผลความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และข้อมูลอัตราว่างงานที่ลดลง ขณะที่ค่าแรงเพิ่มขึ้น

ค่าเงินยูโรและปอนด์ต่างทะยานขึ้นสู่ 1.1547 ดอลลาร์/ยูโร และ 1.2794 ดอลลาร์/ปอนด์ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์คาดหวังว่าจะเห็นค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

·       นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระุบุว่า ค่าเงินปอนด์อาจร่วงลงสู่ระดับ 1.2000 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์และเป็นแนวรับสำคัญหากเกิดกรณี Hard Brexit

ขณะที่ธนาคารอังกฤษ มองว่า หากไม่สามารถหาทางออกเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ก็จะส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ลดลงไปอีก 25% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1985 ที่บริเวณ 1.0700 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยสถานการณ์ดังกล่าวยังถือว่าไม่น่าเป็นไปได้ อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง เหล่าเทรดเดอร์จะได้สัมผัสการซื้อขายค่าเงินปอนด์ที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

·       สำนักข่าว CNBC รายงานว่า สถาบันจัดอันดับกับความน่าเชื่อถือฟิทช์เรทติ้งส์ หรือ ฟิทช์เตือนว่า สหรัฐฯอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับสูงสุด หรือ ระดับ AAA ในปีนี้ พร้อมกับเตือนว่า การปิดหน่วยงานรัฐบางส่วน ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 19 แล้วจะเริ่มส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลกลางในการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน

นายเจมส์ แมคคอร์แมคหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์กล่าวว่า หากการปิดหน่วยงานรัฐดำเนินไปถึงวันที่ 1 มีนาคม และการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นประเด็นปัญหาในช่วงหลายเดือนข้างหน้า จะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไร้ความสามารถในการจัดทำและเสนองบประมาณ ซึ่งประเด็นนี้เป็นข้อพิจารณาสำคัญของการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA

·       นักวิเคราะห์จาก Daily FX ระบุว่า ตลาดกำลังจับตารายงานการประชุมของอีซีบีในวันนี้ ท่ามกลางช่วงสัปดาห์นี้ที่ไม่ค่อยมีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญเท่าไหร่นัก ซึ่งรายงานการประชุมอาจช่วยส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายของ ECB และสามารถวิเคร์ทิศทางต่อไปของค่าเงินยูโรได้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์กันว่าทางอีซีบีมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในปีนี้

และหลังจากรายการการประชุมอีซีบี ตลาดจะจับตาไปยังถ้อยแถลงในคืนนี้ของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด หลังจากที่ถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาของเขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการส่งสัญญาณเชิงชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด การกล่าวกล่าวถ้อยแถลงในคืนนี้จึงเป็นที่ถูกจับต้องอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่รายงานการประชุมเมื่อคืนนี้ ก็มีสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ หากนายโพเวลล์มีการส่งสัญญาณที่แตกต่างจากถ้อยแถลงสัปดาห์ก่อนและรายงานการประชุม ก็อาจมีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้นได้

·       บรรดาสมาชิกเฟดอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายปรับลดพอร์ตงบดุล ซึ่งอาจเป็นการปรับการถือครองพันธบัตรลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ หรืออาจเป็นการคงทรัพย์สินในพอร์ตงบดุลด้วยมูลค่าที่มากกว่าที่ตลาดคาด

ทั้งนี้ เฟดได้มีการปรับลดพอร์ตงบดุลลงมาเป็นมูลค่าเดือนละ 5 หมื่นล้านเหรียญ ท่ามกลางแนวคิดที่จะทำให้ระดับพอร์ตงบดุลกลับเข้าสู่ระดับ ปกติ” โดยได้ดำเนินการติดต่อมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบกับแนวทางการดำเนินนโนบายในระยะสั้นของเฟด

ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เฟดได้ปรับลดพอร์ตลงมาเป็นมูลค่ามากกว่า 3.80 แสนล้านเหรียญ ทั้งในทรัพย์สินกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรจำนอง แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา การปรับลดลพอร์ตงบดุลได้ดำเนินไปด้วยอัตราที่เร็วกว่าเดิม โดยล่าสุดปริมาณพอร์ตงบดุลของเฟดได้ปรับลดลงมาสู่ระดับ 1.51 ล้านล้านเหรียญ ในช่วงปลายปี 2018 จากระดับสูงสุดของปี 2014 ที่ 2.7 ล้านล้านเหรียญ

·       สมาคมอุตสาหกรรม BDI ขนาดใหญ่ในเยอรมนี เรียกร้องให้อียูพิจจารณาใช้นโยบายคุมเข้มทางเศรษฐกิจกับจีนมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลของบรรดาอุตสาหกรรมจากกรณีที่จีนมีการทุ่มตลาด การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและการเข้าถึงตลาดการเงินอย่างไม่เท่าเทียม

·       ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงประมาณ 1% ท่ามกลางอุปทานน้ำมันสหรัฐฯที่อ่อนตัวลง และนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายติดตามเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่หลังเสร็จสิ้นประชุมยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ

น้ำมันดิบ WTI ปรับลง 56 เซนต์ คิดเป็น -1.1% ที่ 51.80 เหรียญ ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปรับลง 0.9% ที่ 60.87 เหรียญ/บาร์เรล

·       ขณะที่ Morgan Stanley  ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ลงกว่า 10% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงอย่างการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการขยายตัวของปริมาณอุปทานน้ำมันโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สำหรับราคาน้ำมันดิบ Brent ทาง Morgan Stanley  คาดการณ์ราคาเฉลี่ยไว้ที่ 61 เหรียญ/บาเรลล์ จากเดิมที่ 69 เหรียญ/บาเรลล์ ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับคาดการณ์ลงมาที่ 54 เหรียญ/บาเรลล์ จากเดิมที่ 60 เหรียญ/บาเรลล์
ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 49.41 - 50.51 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากปิดเหนือแนวต้านได้ก็จะมีโอกาสเห็นราคาน้ำมันดิบกลับเป็นขาขึ้นและมีโอกาสปรับขึ้นไปที่ 54.51-55.24 เหรียญ/บาร์เรล  ขณะที่แนวรับจะอยู่บริเวณ 42.55 - 42.05 เหรียญ/บาร์เรล โดยหากหลุดลงมาก็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันกลับตกลงมาที่จุดต่ำสุดเดิมเมื่อส.ค. 2016 บริเวณ 39.19 เหรียญ/บาร์เรล
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com