· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับต่ำสุดรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและค่าเงินเยน หลังจากที่ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดมีความตั้งใจที่จะปรับลดงบดุลลงจากระดับปัจจุบัน เพื่อให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดมีปริมาณลดลง ซึ่งถ้อยแถลงนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดยังคงมีเป้าหมายที่จะคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป
นอกจากนี้ เขายังไม่เห็นสัญญาณความเสี่ยงระยะสั้นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญภาวะถดถอย รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าจะดำเนินไปตามคาด และยังมีการกล่าวย้ำว่าเฟดจะยังอดทนรอในการดำเนินนโยบายใดๆเพื่อให้ “ยืดหยุ่น” เหมาะสมกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ปรากฏ
ดัชนีดอลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ระดับ 95.535 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.4% ที่ 1.1498 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง 0.3% มาที่ 108.42 เยน/ดอลลาร์
· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวย้ำว่า เฟดควรอดทนรอไปก่อน ขณะเดียวกันเขาก็ยังคาดหวังว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อีกจำนวน 3 ครั้ง
· นายโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวด้วยท่าทีระมัดระวัง และยังมีความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวว่าจะแข็งแกร่งได้ต่อไปหรือไม่
· นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในปีนี้ และเฟดควรยุติแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน เนื่องจากกังวลว่าเฟดจะดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด
· CNBC ระบุว่าในการกล่าวถ้อยแถลงเมื่อคืนนี้ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด แสดงความกังวลต่อปริมาณหนี้สินสาธารณะของสหรัฐฯที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณหนี้สินมักจะเป็นปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว ซึ่งไม่ค่อยสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินนโยบายของเฟดที่มุ่งเน้นไปที่การเงินระยะกลางเป็นส่วนใหญ่
ถ้อยแถลงของนายโพเวลล์เกิดขึ้นท่ามกลางยอดค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่ขยายตัวสูงกว่าระดับ 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เศรษฐศาสตร์หลายท่านต่างออกความเห็นว่าอาจสร้างผลกระทบสำหรับคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ แม้ค่าใช้จ่ายของภาครัฐจะเคยขึ้นไปแตะระดับ 1 ล้านล้านเหรียญมาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวได้อย่างมั่นคงอย่างเช่นปัจจุบัน จึงอาจเป็นปัญหาได้หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
ทั้งนี้ ปริมาณหนี้สินของสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 21.9 ล้านล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็นหนี้สาธารณะ 16 ล้านล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งเกิดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายใต้การดูแลของนายโพเวลล์ และอัตราดอกเบี้ยหนี้สินมีแนวโน้มที่จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อย และสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจได้
· นายริชาด แคลริด้า รองประธานเฟดกล่าวว่า ทางเฟดมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการทางเงินเพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของตลาดการเงิน ถ้อยแถลงดังกล่าวจึงไปหนุนกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและจับตาดูความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานเฟดเมื่อไม่นานมานี้
· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ทวิตเตอร์ว่าเขาอาจไม่เข้าร่วมการประชุมประจำปี World Economic Forum ที่กรุงดาวอส ในวันที่ 22-25 ม.ค. นี้ ท่ามกลางภาวะสหรัฐฯ Shutdown อยู่ โดยมีใจความที่ไม่พึงพอใจและความยืดเยื้อในการเจรจาด้านความมั่นคงทางชายแดนภายในรัฐสภาสหรัฐฯ
นอกจากนี้ นายทรัมป์ระบุว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนทางการค้าจากสหรัฐฯและจีนทั้ง 3 วันที่ผ่านมา จบลงด้วยความสำเร็จอย่างล้นหลาม พร้อมกล่าวว่า การเจรจากับจีนนั้นง่ายยิ่งกว่าการเจรจากับพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาของตนเองเสียอีก
· นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่นายหลิว อี้ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเดินทางมายังกรุงวอชิงตัน ภายในเดือน ม.ค. นี้ เพื่อร่วมเจรจาเกี่ยวกับการค้า เหมือนกับที่ทางสหรัฐฯได้ส่งตัวแทนไปร่วมเจรจา ณ กรุงปักกิ่ง ก่อนหน้า โดยนายมนูชินหวังว่าภาวะ Shutdown จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเจรจาที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเป็นวันที่ 9 แม้ว่าจะปรับขึ้นอย่างจำกัดหลังจากไม่มีความชัดเจนมากเท่าใดนักเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้าในการเจรจาของสหรัฐฯและจีน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนยังคงอ่อนแอ
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 23 เซนต์ ที่ระดับ 52.59 เหรียญ/บาร์เรล ถึงแม้จะปรับขึ้นได้เล็กน้อยแต่ก็ดูเหมือนจะเพียงพอที่จะทำให้ภาพรวมสัปดาห์นี้เป็นการปิดแดนบวกติดต่อกัน 5 สัปดาห์
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 30 เซนต์ ที่ 61.74 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดการเงินทั่วโลกมีการฟื้นตัว จากความคาดหวังว่าสหรัฐฯและจีนจะหาทางยุติข้อขัดแย้งทางการค้าได้เร็วๆนี้เพื่อหลีกเลี่ยงTrade War ระหว่างสองประเทศ แต่การปรับขึ้นของตลาดต่างๆก็ดูจะเริ่มอ่อนแรงลง หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยังปราศจากรายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ นอกจากสัญญาณการพูดคุยเชิงบวก
· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังแสดงความพอใจและระบุว่า “ประสบความสำเร็จอย่างมาก” ในการหารือกันที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติม
· ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ยังคงออกมาน่าผิดหวังได้ส่งผลให้ตลาดยิ่งกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก โดยข้อมูล PPI เดือนธ.ค.ของจีน ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี และสร้างสัญญาณความเสี่ยงที่อาจเห็นเศรษฐกิจประสบภาวะเงินฝืด
· Barclays ยังคงคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้ในกรอบ 55-65 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางสต็อกน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้ และตลาดดูจะกลับสู่ภาวะสมดุลได้อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
· Morgan Stanley หั่นคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปีนี้ลงไป 10% อันเป็นผลกระทบจากคาดการณ์ภาวะการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของภาวะอุปทานน้ำมัน