ขณะที่ประเด็นหลักที่ยุโรปให้คตวามสำคัญ คือ ประเด็น Brexit หรือการที่อังกฤษจะออกจากอียู โดยนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แสดงความคาดหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แบบ No-Deal ได้
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ หลังประธานเฟดยังคงยืนยันถึงแนวโน้มที่เฟดจะพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสัญญาณเขิงบวกต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิด +0.29% ที่ระดับสูงสุดของวันที่ 6 ธ.ค.
นักวิเคราะห์จาก Nomura Securities ระบุว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ใช้คำว่า เฟดจะมีความ“อดทน”ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หมายถึงเฟดยังมีแนวโน้มดำเนินนโยบายไปในทิศทางคุมเข้ม แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจถูกเลื่อนออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นบรรดาสินทรัพย์เสี่ยงจึงกำลังได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถงดังกล่าวอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีท่าทีอ่อนข้อต่อจีนมากขึ้น หลังจากการปรับร่วงลงของตลาดหุ้น ทางสหรัฐฯจึงมีการขอความร่วมมือกับทางจีนมากขึ้น ขณะที่ทางจีนก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธความร่วมมือดังกล่าว
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นบวกท่ามกลางแรงหนุนจากการปรับสูงขึ้นของหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืน และยังเป็นการฟื้นตัวหลังธุรกิจกลุ่มร้านสะดวกซื้อประกาศตัวเลขผลประกอบการรายไตรมาสที่ตกต่ำเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei ปิด +0.7% ที่ระดับ 20,306.13 จุด สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ดัชนีปิด +3.7%
นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities ระบุว่า ดัชนี Nikkei สามารถยืนเหนือระดับ 20,000 จุด ที่เป็นแนบรับสำคัญทางจิตวิทยาได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจึงคาดว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะสามารถปรับสูงขึ้นได้อีก แต่อาจไม่มากนักเนื่องจากยังความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกอยู่
· ตลาดหุ้นจีนปิดบวก หลังจากข่าวว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายในเดือนนี้ จึงช่วยหนุนโอกาสที่สหรัฐฯ-จีนจะสามารถคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้ากันได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ดัชนี Shanghai Composite ปิด +0.74% ที่ระดับ 2,553.83 จุด
· สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยลดลง 5.25 มาอยู่ที่ระดับ 92.75 โดยอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เช่นเดิม
ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า นักลงทุนกังวลกับความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการไหลเข้าออกของกระแสเงินทุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นในสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเรื่องการเลือกตั้งและกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะช่วยความเชื่อมั่นนักลงทุน
· ธปท. คาดแม้การส่งออกสินค้าของไทยยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาภายนอกประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน แต่เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อไทย เนื่องจากจะทำให้มีการย้ายคำสั่งซื้อ และการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป
พร้อมคาดว่ามูลค่าการส่งออกในปี 62 ขยายตัวได้ 3.8% ชะลอลงจากปี 61 คาดว่าส่งออกได้ 7% เพราะมีฐานที่สูงจากปีก่อนหน้าและผลกระทบเรื่องสงครามการค้าเป็นหลัก